วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีป้องกันผี ตอนไปเที่ยวโรงแรม!!

วิธีป้องกันผี ตอนไปเที่ยวโรงแรม!!


คงไม่มีใครเถียงแน่นอน ว่าโรงแรมเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้นๆ ที่คุณจะได้เจอผี วันนี้ เลยจะมาแนะนำวิธีป้องกันผีหลอก ในกรณีที่เราต้องเข้าไปพักในโรงแรมคนเดียวหรือโรงแรมที่น่ากลัวๆ มาฝากกัน

- ก่อนที่จะเข้า
ยังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

- หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ “ขนลุก” จง ออกจากห้องไปเงียบๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

- หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

- ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็น การแสดงถึงหลัก “หยิน-หยาง”เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

- จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟในห้องน้ำยิ่งดี

- หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้เช่น กระเป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บ้านเช่า ผีเฮี้ยน ย่านอนุเสาวรีย์

บ้านเช่า ผีเฮี้ยน ย่านอนุเสาวรีย์


เรื่องมีอยูว่าเรากับแฟนได้เช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่แถวย่านอนุเสาวรีย์ เราเช่าอยู่ในราคา 20,000 บาท บ้านหลังนี้มีรูปแบบบ้านที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือ

ถ้าตรงกลางบ้านโล่งขึ้นไปถึงหลังคา บ้านหลัง นี้มี4ชั้นรวมชั้นดาดฟ้า บนดาดฟ้านี้มีศาลอยู่ด้วยค่ะ เราพอทราบมาว่าก่อนหน้าที่เราจะมาเช่า บ้านหลังนี้ว่างอยู่เกือบ2ปี หลังจากที่เราทั้งครอบครัวย้ายเข้ามานั้นเป็นช่วงที่ตรงกับฟุตบอลโลกพอดี คืนที่2หลังจากย้ายเข้าบ้านทุกคนหลับหมดแล้วเหลือแต่น้องชายนั่งดูบอลอยู่จนกระทั่งบอลจบ

ช่วงเวลาประมาณ ตี2ครึ่ง น้องก็ได้เดินจากชั้น2ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นกลับเข้ามานอนที่ห้องของตัวเอง

ระหว่างทางที่เดินผ่านที่พักบันไดน้องชายไม่ได้เปิดไฟทางเดิน แต่มีไฟสลัวตรงหน้าต่าง น้องชายได้ยินเสียงผู้หญิง2คนคุยกันอยู่ตรงหัวบันได ประมาณว่า"ผู้ชายคนนี้เป็นใครเนี่ยเข้ามาในบ้านเราได้ยังไง" แต่น้องเราก็คิดว่ามันหูฝาด เพราะน้องไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ก็เข้านอนตามปรกติจนหลับไปได้สักพักน้องชายเรารู้สึก
มีคนมาดึงขาลากลงมาจากที่นอน น้องเรากลัวมากรีบมาเคาะห้องขอนอนกับแม่หลังจากคืนนั้นน้องเรามันย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิมไม่มานอนที่นี่อีกเลย

มาพูดถึงห้องนอนเราบ้างนะ

เพื่อนๆลองนึกภาพห้องน้ำที่มีชักโครกที่เวลาเงยหน้าขึ้นไปจะมีหน้าต่างกระจกสามารถมองขึ้นไปแล้วเจอกับศาลตรงชั้นดาดฟ้าพอดี คิดเอาเถอะค่ะ เราไม่กล้าทำทุกข์หนักตอนกลางคืนกันเลยทีเดียว บอกได้ว่าน่ากลัว เราไม่สามารถข่มตาหลับในห้องนอนเวลาเรานอนคนเดียวได้แม้แต่ครั้งเดียว

มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลาเพื่อนที่มานอนที่บ้านเหมือนกันโดนผีอำทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราโดนทุกวัน จนเราชินมาก แต่บางครั้งก้อยังกลัวนะ ตลอดเวลาเกือบสองปีเจอแบบนี้ตลอดเหมือนมีคนอยู่ด้วยทั้งๆๆที่เราอยู่คนเดียว

หมาเราชอบเห่ามุมของห้องนอน (มุมนั้นมุมเดียวจริงๆๆห้องนั้นห้องเดียวด้วยตลอดระยะเวลาเกือบ2ปีมันเห่าทุกวันและต้องเป็นเฉพาะตอนเราอยู่คนเดียว)จนก่อนที่เราจะย้ายออก เรายืนล้างจานอยู่ในครัวซึ่งน่ากลัวมากด้านหลังติดกับห้องครัวเป็นห้องเก็บของที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียวนอกจากแฟนเรา

ขณะที่เรายืนล้างจานอยู่เราได้ยินเสียงมีใครเรียกชื่อเราอยู่ตรงข้างหู เราตกใจมากสะดุ้งสุดๆเพราะมันอยู่ข้างหูเราเองสามารถรู้สึกได้แต่เราไม่ได้ขานรับนะจากนั้นมาเราก้อย้ายออก จากนั้นพอเราย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เรีบยร้อยแฟนเราก็เล่าให้เราฟังว่า

เค้าเป็นคนไม่เคยเชื่อเรื่องผีเพราะเค้าเป็นต่างชาติแต่เค้ากลับบอกเราว่าตลอดเวลาที่เค้าอยู่บ้านหลังนั้นเค้ารู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วยนอกเหนือจากเราเวลาที่เค้าอยู่ในบ้านรู้สึกถึงสายตาจ้องมองตลอด เค้าบอกว่าไม่อยากเล่าให้เรากลัวหรือไม่สบายใจขอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริงจากที่เจอหลอนนิดๆๆกันบ้างไหม?

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผีเด็กเฮี้ยน ขอข้าวกิน

ผีเด็กเฮี้ยน ขอข้าวกิน


น.ส.วัชรี อำมวัฒน์ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 110/4 หมู่ 5 ต.ท้าช้าง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ว่า เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดชวนขนลุก จนทำให้ครอบครัวพากันแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากพบว่ามีรูปคล้ายวิญาณเด็กติดอยู่กับรูปถ่ายของลูกชาย และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นรูปเด็กผู้ชายสวมเสื้อกล้ามสีขาว แต่สิ่งที่ประหลาด ในภาพข้างขวาเด็กผู้ชายพบเป็นเงาของใบหน้าเด็กไว้จุกศีรษะล้าน

น.ส.วัชรี เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า ตนมีลูกชายอยู่ 1 คน อายุ 6 ขวบ และได้มาเช่าตึกอยู่ที่หน้าวิทยาลัยการอาชีพวิเศษชัยชาญติดกับวัดหลวงสุนทราราม ใน ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ชวนน่าใจหาย ในช่วงเวลา 11.00 น. วานนี้ ขณะที่หยิบรูปถ่ายลูกชายในวัย 1 ขวบมาดู พร้อมใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพลูกไว้ 2 รูป จนกระทั่งตกดึก ตนได้เปิดรูปให้สามีและลูกชายดูอีกครั้ง และปรากฏว่ามีรูปเด็กโผล่ ๆ มาข้างลูกชาย พร้อมกันนั้นลูกชายถามตนด้วยว่า รูปเด็กคนนี้เป็นใคร จึงสังเกตอย่างละเอียดพบว่ามีรูปเด็กปรากฏอยู่จริง จากนั้นได้นำภาพลงในคอมพิวเตอร์ และปรากฏว่ามีรูปวิญญาณเด็กหัวจุกติดอยู่จริง จนทำให้สร้างความหวาดผวาให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก

“ก่อนหน้าที่จะมีรูปวิญญาณเด็กผมจุกมาอยู่ในรูปภาพของลูกชาย สามีเคยปลุกให้ตนตื่นเนื่องจากได้ยินเสียงเด็กมาส่งเสียงร้องอยู่ในห้องและขอข้าวกิน จนทำให้ตนและสามีไม่ได้นอนเลยทั้งคืน” น.ส.วัชรี กล่าวทิ้งท้าย

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คนขับแท๊กซี่โดนผีหลอก

คนขับแท๊กซี่โดนผีหลอก


ถ้าพูดถึงเรื่องผีดุๆ มีอยู่ที่นึง เอ่ยชื่อหลายคนคงรู้จัก นั่นคือแถวเดอะมอลล์งามวงวาน แถวนั้นตึกที่พักสูงๆเยอะ คนกระโดดตึกฆ่าตัวตายบ่อย
กลางดึกมีคนเจอดีหลายคนแล้ว โดยเฉพาะคนขับคนขับแท๊กซี่โดนบ่อย ตอนดึกๆมักมีผู้หญิงสาวมาเรียกรถแท๊กซี่คนขับแท๊กซี่

ส่วนใหญ่จะบอกให้ไปส่งแถววัดโน่นวัดนี่ แต่พอขับไปสักพักปรากฏว่า ไม่มีผู้โดยสารสาวอยู่ในรถแท๊กซี่เลย จนเดี๋ยวนี้ไม่มีรถแท๊กซี่
คนขับแท๊กซี่คันไหนกล้ารับผู้หญิงที่เรียกรถแท๊กซี่ตอนดึกแถวเดอะมอลล์งามวงวานเลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มันต้องมีคนที่ไม่กลัวมั่งล่ะ

นั่นคือ ลุงคนนึงแกเพิ่งมาขับคนขับแท๊กซี่ใหม่ๆ แกชื่อลุงกล้า ก็กล้าสมชื่อครับ คืนนั้นเวลาประมาณตีสองเห็นจะได้
แกขับรถแท๊กซี่ผ่านหน้าเดอะมอลล์งามฯ แกก็นึกถึงเรื่องผีผู้หญิงที่มักเรียกรถแท๊กซี่คนขับแท๊กซี่ตอนดึก แต่ลุงกล้าแกไม่กลัวครับ
แกเลยขับช้าๆมองหาว่าจะมีจริงตามที่เขาเล่าหรือปล่าว แล้วแกก็เจอจริงๆครับแกเห็นผู้หญิงคนนึงโบกมือเรียกรถแท๊กซี่
ลุงกล้าก็เลยจอดรับลองดูว่าจะผีหรือคน ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดสีดำหน้าตาดีทีเดียวครับ บอกลุงกล้าให้ไปส่งที่วัดธาตุทอง
(แถวสุขุมวิท พระโขนง) ลุงกล้าแกก็เห็นเค้าเป็นคนนี่ไม่เห็นจะเป็นผีตรงไหนเลย แกก็รับผู้หญิงชุดดำคนนั้นมา

ขับไปแกก็เหลือบมองกระจกส่องหลังตลอด ก็เห็นผู้โดยสารสาวสวยคนนั้นยังนั่งอยู่ ลุงกล้าก็เลยขับมาเรื่อยๆ ขับมาถึงประมาณ
ถนนพระราม 9 ไฟข้างถนนค่อนข้างสว่างลุงกล้าก็มองกระจกส่องหลัง เท่านั้นล่ะครับ ลุงกล้าแกเสียวสันหลังวาบเลย
เพราะหญิงสาวผู้โดยสารไม่อยู่ตรงเบาะหลังแล้วครับ ลุงกล้าที่ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าแล้ว พยายามมองผ่านกระจก

ก็ไม่เห็นแล้วครับ ลุงกล้าก็เลยนึกในใจ โดนแน่แล้ว แกก็เลยจะจอดรถแท๊กซี่เพื่อที่จะได้หายกลัว แต่กลิ่นน้ำหอม
ยังฟุ้งอยู่เต็มรถแท๊กซี่ ลุงกล้าแกก็นึกในใจว่า วิญญาณน่าจะยังอยู่ในรถแท๊กซี่ เราคงมองไม่เห็น คงต้องไปส่งให้ถึงวัดธาตุทอง

ถ้าถึงที่หมายแล้วกลิ่นน้ำหอมคงจะหายไปด้วย คิดได้ ลุงกล้าแกก็เลยเหยียบคันเร่งสุดชีวิต เพิ่อให้ถึงวัดธาตุทองไวๆ
พอใกล้จะถึงวัดอีกประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร ลุงกล้าก็เหลือบไปมองกระจกส่องหล้ง คุณพระช่วย!!! ผีสาวชุดดำกำลังนั่ง

จ้องตาถมึงทึง ลุงกล้าแกเบรกรถแท๊กซี่แทบชนฟุตบาธ พระที่อยู่หน้ารถแท๊กซี่กี่องค์ลุงกล้าแกเอามือรวบมากอดไว้หมดเลย
คาถงคาถากี่บทที่ลุงกล้านึกได้ เอามาสวดหมดเลยครับ บทพาหุงที่ว่าแน่ หรือสุดยอดพระคาถาอย่างชินบันชรลุงกล้าแก
สวดมั่วไปหมด หันไปมองข้างหลังทั้งๆที่เหงื่อแตกพลั่ก เห็นผีสาวที่ตอนนี้มีแต่รอยเลือดสีแดงเลอะเต็มหน้า

ยังทำตาถมึงทึงใส่แก ลุงกล้าเลยหันกลับมา ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องทำใจดีสู้เสือ ถ้าไม่กลัว ผีก็คงไม่ทำอะไรแน่
ลุงกล้าเลยหันกลับไป แล้วถามทั้งๆที่เสียงสั่นว่า "ขอโทษนะครับคุณ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตายครับ" ผีสาวยิ่งโกรธ

ไปใหญ่แล้วพูดว่า "ตายพ่อตายแม่มึงเหรอ กูก้มลงไปแต่งหน้าแป๊บนึง มึงเหยียบซะหน้ากูเลอะลิปติกหมดเลย

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หญิงชรากับบ้านที่ปิดตาย

หญิงชรากับบ้านที่ปิดตาย


ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควันธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ในใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า"จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือดเต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมีความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่างมีความสุด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผีในคุก

ผีในคุก


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน !! นัก เรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผีเด็กในโรงแรม

ผีเด็กในโรงแรม


เรื่องนี้ผ่านมาประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน 7 คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน

จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง

น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ

แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บนไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที

เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์งานกันในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที

สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว

คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรงเรียนผีดุ

โรงเรียนผีดุ


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน !! นัก เรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้


เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิญญาณแม่

วิญญาณแม่


"พัชรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอบพิเศษ ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงเลย ดังนั้น จึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่จบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยดี ไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอบก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

ครูติ๊กเป็นครูที่หวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวละก็ ห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย! วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอ ครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

"คุณแม่ยังไม่กลับหรือคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?" ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน...

คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง...ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง "ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว..." ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที่...

เรื่องมีอยู่ เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้น ป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด... ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ

ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ... เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันที และอย่างเคร่งครัดเชียวล่ะค่ะ!

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โทรศัพท์สยอง

โทรศัพท์สยอง


เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง

อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!

"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"

ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ! "โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."

"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละ

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โอปปาติกะ กับรัชกาลที่ 6

โอปปาติกะ กับรัชกาลที่ 6


เมื่อพูดถึง "ผี" หรือ "วิญญาณ" พวกเราชาวนอกรั้ววังคงอยากจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในรั้ววังกันบ้าง ยายผีป่าจึงไปเสาะหาจากนิตยสารหญิงไทยมาให้อ่านค่ะ ขอนำเรื่องราวของ "โอปปาติกะ" ที่มาปรากฏให้เห็นเฉพาะพระพักตร์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 6 มาเล่าให้ฟัง...

เรื่อง นี้เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งที่พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันหนึ่งมีงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิด ท่านจอมพลเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น ซึ่งล้นเกล้าฯรัชการที่ 6 ก็จะต้องไปในงานนี้ด้วย การแต่งพระองค์ในวันนั้นต้องทรงเครื่องยศทหารรักษาวัง เพียงครึ่งยศ เพราะเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิตเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารรักษาวัง และยังเป็นงานแบบสโมสรกลางแจ้ง

งานในวันนี้มีข้าราชบริพาร สมุหราชองครักษ์และราชองครักษ์ เตรียมโดยเสด็จอย่างพรั่งพร้อม เมื่อได้เวลาเสด็จพระราชดำเนิน พระองค์ก็ได้เสด็จขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่ง ณ ทหารเรือ ทหารม้า ทหารราบทั่วไปและตำรวจ จะต้องมายืนรับเสด็จอยู่ริมรถพระที่นั่งตามอย่างราชประเพณีเป็นปกติ และยังมีราชองครักษ์เวรสมทบราชองครักษ์ประจำ ซึ่งมีพันโทพระยาสรชาติ โยธี พันตรีหลวงอาจหาญณรงค์ นาวาโทหลวงสวัสดิ์ นาวายุทธ ร้อยเอกหลวงวรภักดิ์ภูบาล และนายพันตำรวจโทหลวงอภิบาลนครเขตต์

นอก จากพระองค์จะทอดพระเนตรเห็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็ยังทอดพระเนตรเห็น "พันเอกจมื่นฤทธิ์รณจักร" ผู้บังคับกองพันทหารรักษาวังแต่งตัวเต็มยศมายืนอยู่ด้วยในหมู่ราชองครักษ์ โดยสวมหมวกแบบนโปเลียนและมีปลอกคอ ปลอกข้อมือใช้กระบี่แบบไทยหัวเป็นพญานาค พระองค์ทรงตรัสเล่าให้มหาเล็กคนสนิทคือนายรองเล่ห์อาวุธ หรือ "จมื่นมานิตย์นเรศร์" ฟังว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงฉงนพระราชหฤทัยเหมือนกันว่าทำไม "จมื่นฤทธิ์รณจักร" จึงแต่งกายเต็มยศ แต่ก็มิได้ออกพระโอษฐ์กับใคร แม้กระทั่งสมุหราชองครักษ์ทีโดยเสด็จฯ ไปในรถพระที่นั่งนั้นด้วย

เมื่อ เสด็จฯมาถึงงานก็ทรงมีพระราชภาระที่จะต้องพระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิม ต้องพระราชทานประคำทองคำกับแหวนนพเก้าเป็นพิเศษตามอย่างโบราณราชประเพณีให้ แก่เจ้าพระยานาหมื่นชั้นแม่ทัพนายกองเป็นของขวัญและยังทรงมีพระราชภาระ ทีจะต้องพระราชทานพระบรมราโชวาทในงานเลี้ยง เมื่อทรงพระราชทานพรและทอดพระเนตรงานมหรสพจนเสร็จงานก็เป็นเวลาเกือบตีสาม จึงเสด็จกลับพระตำหนัก

กระทั่ง ถึงตำหนักที่ประทับ ณ วังสวนจิตรลดา ก็จะเสด็จเข้าห้องแต่งพระองค์แต่ก่อนจะถึงห้องแต่งพระองค์ได้เสด็จผ่านห้อง โถง และได้ทอดพระเนตรเห็นพานกะไหล่ทอง ซึ่งบนพานใบนั้นมีธูปกระแจะขนาดใหญ่กับเทียนไส้ใหญ่อย่างละ 1 เล่ม แบบเผาศพ พร้อมด้วยกระทงดอกไม้ตั้งอยู่ และยังมีข้อความเขียนไว้ว่า "ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า จมื่นฤทธิ์รณจักร ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายบังคมลาไปปรโลก"

สิ่ง ที่นำมาถวายและข้อความที่เขียนไว้นี้ เป็นแบบอย่างการถวายบังคมทูลลาตายของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ซึ่งทรงรู้จักคุ้นเคย โดยครอบครัวผู้ตายจะจัดขึ้นทูลเกล้าฯถวาย จากนั้นพระองค์ก็จะโปรดเกล้าฯให้มหาดเล็กรับใช้หรือ มหาดเล็กห้องที่พระบรรทม นำไปจุดบูชาที่หอพระ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นดังนั้นนก็ให้ฉงนในพระราช หฤทัยไม่ใช่น้อย จึงโปรดฯให้มหาดเล็กเวรเชิญพระราชกระแสไปสอบถาม เพื่อให้แน่แก่พระทัยที่บ้านจมื่นฤทธิ์รณจักร มหาดเล็กก็กลับมาถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักรถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเช้านี้และในตอนเย็นก็ได้รับพระราชทาน น้ำหลวงอาบศพ ทางครอบครัวได้แต่งตัวศพด้วยเครื่องเต็มยศทั้งชุดของทหารรักษาวัง"

เมื่อ ความได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเช่นนั้น พระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัย และเสียดายจมื่นฤทธิ์รณจักร เป็นอย่างมาก ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักร แกรักฉัน อุตส่าห์นำวิญญาณในเครื่องแบบเต็มยศมาลาฉัน"

"จมื่น ฤทธิ์ รณจักร" ผู้นี้ เป็นนายทหารที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บังคับกองพันทหารรักษาวัง และราชองครักษ์ เป็นนายทหารที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ไว้วางพระราชหฤทัย ทรงโปรดปรานสนิทสนมด้วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นในงานศพของนายทหารท่านนี้ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นค่าจัดงานศพตลอดงานนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ ครอบครัวจมื่นฤทธิ์รณจักรสุดคณานับ

เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่เชื่อ ถือได้ เพราะผู้เล่าคือจมื่นมานิตย์นเรศร์มหาดเล็กคนสนิทในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ซึ่งได้เล่าไว้ในรายการรอบเมืองไทยทางวิทยุ ท.ท.ท. ออกอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตำนานผีฟ้า

ตำนานผีฟ้า


ชาวอีสานมีความเชื่อถือต่อ "ผี" มาก เพราะมีความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำท่วม ฝนแล้งนาล่ม หรือพืชพันธุ์ ธัญญาหารเหี่ยวแห้ง เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผีสางเทวดาทั้งสิ้น พวกเขาจึงเซ่นไหว้บวงสรวงผีต่างๆ และมีสิ่งที่หน้าสังเกตคือ

ทุกครั้งที่มีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกๆ ฤดูกาล แล้วจะเกิดแต่ความสุขไปทั่ว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดม สมบูรณ์ดี และการที่มีคติความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีหลายลักษณะ และพีธีบูชา ผีฟ้า ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง

ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้น ชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่ง เชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้น

สามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ

การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด ๔ ส่วนคือ หมอลำ ผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และเครื่องคาย

หมอลำผีฟ้า จะ เป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ หมอแคน (หมอม้า)

จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอ

ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย

ในการรำผีฟ้านั้น จะมีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น เมื่อครูบาเก่าเข้าสิงร่าง ผู้ทำพิธีจะต้องสวมผ้าซิ่นทับผ้าที่สวมอยู่ (กรณีที่ผู้ป่วยเป็นชาย) หรือถ้าผู้ป่วยเป็นผู้หญิงครูบาจะสวมผ้าแพรหรือผ้าฝ้าย โดยสวมทับผ้านุ่งเดิม ซึ่งจะจัดไว้อยู่ใกล้เครื่องคาย

ในการรักษาทุกคนจะต้องฟ้อนรำ กันทุกคน และขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการดูการฟ้อนรำก็จะทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ต้องการ ครูบาก็จะนำเครื่องคายขึ้นไปเก็บบนหิ้ง และจะมาร่วมกันรับประทานอาหาร

ความ เชื่อของชาวอีสานเชื่อว่า ผีฟ้าสามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายของมนุษย์ได้ การที่มนุษย์ตายไปขวัญจะออกจากร่าง เพื่อไปพบบรรพชน แต่ขวัญจะไม่แตกดับเหมือนร่าง เป็นเพียงการจากไปของร่างแต่วิญญาณยังคงอยู่กับผู้มีชีวิต สาเหตุที่มีการฟ้อนรำกันนั้น

ก็เพื่อเป็นการทำให้คนไข้มีพลังจิตในการต่อสู้กับการเจ็บป่วย มีอารมณ์ผ่อนคลาย ความตึงเครียด จิตใจปลอดโปร่ง ไร้วิตกกังวล และสร้างจิตสำนึกด้านความกตัญญู เป็นคตินิยมของวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็น ประเพณี จะเห็นว่าผีฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ โดยมีคติเตือนใจว่า "คนไม่เห็น ผีเห็น"

สำหรับ ทุกวันนี้ การรำผีฟ้าดูจะเสื่อมคลายลงไป เพราะความเจริญทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สำหรับ ชาวอีสานบางกลุ่ม การกระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งงมงายเหลวไหลหรือไร้สาระสิ้นเชิงเสียทีเดียว..

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผีเปรต แบ่งได้เป็น 12 ตระกูล

ผีเปรต แบ่งได้เป็น 12 ตระกูล


เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่งซึ่งได้ เคยสร้างบาปกรรมอย่างหนักไว้ในอดีต พอสิ้นชีวิตลงก็ต้องมารับกรรมกลายเป็นเปรตตามแต่ผลของกรรมจะบันดาล ทำให้เปรตต้องมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ชอบส่งเสียงร้องหรือขึ้นมาขอส่วนบุญจากมนุษย์
ตระกูลเปรตนั้นแบ่งได้เป็น 12 ตระกูล ตามคัมภีร์เปตวัตถุหรือนิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของเปรต คือ

1. วันตาสาเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินน้ำลาย น้ำมูก อาเจียนเป็นอาหาร
2. กูณปราทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินซากศพคนและสัตว์เป็นอาหาร
3. คูถขาทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5. สุจิมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล คือ เปรตเปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
7. นิชฌาบกเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้เผา
8. สัตตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว และคมเหมือนมีด
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อังครังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
11. เวมานิกเปรตตระกูล คือ เปรตที่เสวยทุกข์ในกลางคืน และไปเสวยสุขในวิมานบนสวรรค์ตอนกลางวัน
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีฤทธิ์มากและเป็นเจ้าแห่งเปรตทั้งหลาย

การ ที่มนุษย์จะเกิดมาเป็นเปรตก็ตามแต่บาปกรรมที่ได้กระทำไว้บนโลกมนุษย์ เช่น ผู้ที่ชอบดุด่าตบตีผู้มีพระคุณหรือบุพการี ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นตอนมีชีวิตอยู่ควรหมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ โยเฉพาะกับพ่อแม่ ตายไปจะได้ไม่เกิดเป็นเปรต

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่องสยองลิฟท์ของโรงเรียน

เรื่องสยองลิฟท์ของโรงเรียน


มัน เกิดขึ้นกับผมและเพื่อนน่ะครับ .. เรื่องมีอยู่ว่า .. วันนั้นเป็นวันศุกร์ พวกเรากลับดึกกันมีผมกับเพื่อนอีก 2 เป็น 3 มี ผม ภู เค พวกเราต้องช่วยอาจารย์ยกของ กันนานเพื่อเตรียมวันแข่งขันกีฬาสีกัน ตอนนั้นตอนเราจะกลับเราต้องขึ้นลีฟต์กัน ตอนนั้นดึกมาเลยอ่ะครับ .. 4 ทุ่ม กว่าๆ

ภูเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องผีๆและดูหนังผีจนกลัวติดไปเลย เค ก็บอกว่าถ้ากลัวๆก็รีบกลับกันเพราะเราขึ้นลีฟต์กันดึกมาก มีคนบอกว่าขึ้นลีฟต์ตัวนี้ระวังจะเจอผี ผมและเคก็ไม่เชื่อหรอก แต่ก็กลัวๆเช่นกัน ..

มันดึกแล้ว พอเราอยู่บนลิฟต์ .. ก็เหมือนว่ามีผมใครมาอยู่ข้างหลังผมแล้วผมก็ถามเพื่อนมันว่า ” ใครจักจี้หลังเรารึ !? “

เพื่อน 2 คนตอบ ” ~ ไมอ่ะ .. !! ~ “

อยู่ๆภูก็บอกว่า ” เฮ้ย ๆ ใครเอาผมมาหลังเรา “

พวกเราเริ่มกลัวๆกันแล้วอยู่ๆเหมือนมีเสียงผู้หญิงร้องไห้ ฮือ ฮือ แลวพอเราหันไปหลังลีฟต์ เห็นผู้หญิงม.ปลาย ตัวลางๆมีเลือดเต็มตัว ..

หน้าเต็มไปด้วยเลือดมองทางพวกเรา แล้วลีฟต์บังเอิญมาถึงชั้นล่างพอดี พวกเราดีใจกันใหญ๋วิ่งหนีสุดชีวิต แล้วพวกเราก็รู้สึกว่า มีคนวิ่งตามมาเราก็หนีเต็มที่แล้วก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกวันเลยตั้งแต่ตอนนั้น

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หอพักสยอง

หอพักสยอง


ย้อนกลับไปเมื่อ ปี 2553 ผมได้ตระเวนหาหอพักแถวมหาวิทยาลัยที่มีปัจจัยหลายๆอย่างที่ผมต้องการ ดังนี้
1.ราคาถูก
2.สงบรมรื่น
3.ห้องใหญ่
แต่ก็ไม่เจอที่ถูกใจสักที
จนผมได้มารู้จักกับรุ่นพี่คนนึงสมมติว่าชื่อพี่ดี รุ่นพี่คนนี้แกเป็นคนเช่าหอที่เกิดเรื่องนี้อยู่ พี่ดีเค้าก็จะออกจากหอเนื่องจากแกเรียนจบแล้ว ผมก็เลยไปสอบถามพี่ดีว่าหอเป็นอย่างไร อยู่สบายไหม เป็นต้น พี่ดีก็แนะนำให้ผมเข้ามาดูเอง


ห้องนี้ผมจำไม่ได้ว่าห้องหมายเลขอะไร แต่จำได้ว่า ... "ขึ้นมาชั้น 3 แล้วเลี้ยวขวา ห้องที่มีหมายเลข 2 ซึ่งเป็นหมายเลขที่ติดตัวผมมาจนถึงปัจจุบัน" พอผมมาถึงก็เคาะประตูห้องพี่ดี พี่ดีก็มาเปิดประตู พอผมเข้าไปผมก็รู้สึกว่า "มันใช่" น่าอยู่มาก เนื่องจาก ห้องจะเป็นคล้ายๆกับรีสอร์ท ผมลืมบอกไป หอนี้พื้นเป็นหินอ่อนครับ พื้นก็เย็นสบาย วิวก็โอเคร ห้องน้ำใช้ได้ แต่มันติดอยู่ 2 สิ่งที่ผมถึงกับ ผงะ นั่นคือ 1.ยันต์หลังประตูทางเข้า 2.โต๊ะเครื่องแป้งและกระจก ที่ใหญ่มากๆ
(
ผมจะบรรยายสภาพห้องให้ฟังนะครับนึกภาพตามกันนะครับ จังหวะแรก เปิดประตูเข้ามา เป็นทางตรง ขวามือเป็นห้องน้ำ ตรงข้ามห้องน้ำ เป็นตู้เสื้อผ้า สรุปจะเป็นทางเดือนยาวๆ หลังจากนั้นถัดจาก ตู้เสื้อผ้าจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่ ขนาดก็น้องๆเตียงนะครับ โต๊ะเครื่องแป้งก็เป็นไม้ ยาวๆ คล้ายๆ กับโต๊ะยาวๆและมีกระจกตั้งบนโต๊ะ ซึ่งไม่สามารถย้ายไปไหนได้เนื่องจากทางหอเค้ายึดพวกนี้ไว้เลย ตรงข้ามโต๊ะเครื่องแป้งก็เป็นพื้นที่ว่างๆ ครับ ซึ่งจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก เตียงนอน และมีระเบียงซึ่งจะมีบานเลื่อนกั้นไว้ คล้ายๆกับ ห้องกระจกที่เวลาจะเข้าออกก็ต้องเลื่อนไปด้านข้าง)
ผมก็ถามพี่ดีก่อนเลยว่า พี่ครับทำไมมันมียันต์สีแดงแผ่นเบอเร่อเลยครับ (ใหญ่จริงๆนะครับผมจำได้ติดตา สี่เหลี่ยมจัตุรัส สีแดง ขนาดใหญ่พอๆกับผ้าเช็ดหน้า) พี่ดีก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกมันมีตั้งนานก่อนพี่จะมาอยู่แล้ว โอเครผมก็ไม่อะไรครับเชื่อพี่ดีเค้า เพราะพี่เค้าอยู่มาก่อน

หลังจากนั้นพอพี่ดีย้ายออกผมก็ย้ายเข้าเลยครับ ซึ่งตอน นั้น ห้องผมที่อยู่เป็นห้องพัดลมครับ ราคา 1500 บาท (ผมลืมบอกไปครับ หอจะมีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นแรก ไว้สำหรับเป็นโรงแรม และมีเฟอร์นิเจอร์เครื่องทำน้ำอุ่นตู้เย็นแอร์ครับ ชั้น 2 ห้องแอร์ ชั้น 3 และ 4 ห้องพัดลม ครับ)
วันนั้นน้าผมมาช่วยย้ายของด้วย ผมก็กำลังวุ่นกับการย้ายของครับ และแม่บ้านก็มาทำความสะอาด

พอน้าผมเหลือบไปเห็น ผ้ายันต์สีแดง เค้าก็กลัว และบอกแม่บ้านว่าเอาออกเหอะ แต่ผมก็ยืนยันว่าจะไม่เอาออก แต่แม่บ้านก็เป็นคนดีซะเหลือเกินไม่ฟังคนอยู่ครับ แกะผ้ายันต์ออกผมก็ห้ามก็ไม่ฟัง หลังจากนั้นผมก็ขอดูผ้ายันต์ครับไหนๆก็แกะมาแล้ว แต่สิ่งอยู่ข้างหลังผ้า รู้หรือไม่ครับว่ามันคืออะไร (พิมพ์ไปพอนึกย้อนกลับไปก็ขนลุกไปครับ T_T) มันคือเศษอะไรสักอย่างถูกพันด้วยเส้นด้ายหรือเส้นผมของใครก็ไม่รู้ นั่นแหละครับ นับตั้งแต่นั้นมา จุดเริ่มต้นของความหลอนก็เริ่มขึ้น ครับ

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้างหลอน

ข้างหลอน


สมัยผมยังทำงานโรงงานแถวบางพลีและเช่าห้องอยู่ละแวกนั้น เรื่องห้องเช่าและโรงงานไม่ได้ทำให้ผมเข็ดหลาบหรอก แต่เป็นเรื่องการไปเป็นกิ๊กกับเมียคนอื่นนี่สิ

เธอชื่อ “เปิ้ล” เป็นคนจังหวัดเดียวกันกับผม ทำงานโรงงานเดียวกัน สายพานเดียวกันและมักจะกะเดียวกัน สามีเธอก็เช่นกันแต่คนละแผนกและมักจะคนละกะ บังเอิญผมกับเปิ้ลและสามีก็เช่าห้องติดกัน เธอกับสามีมาทำงานก่อนผมราวปีหนึ่ง เมื่อห้องติดกัน ทำงานที่เดียวกัน กะเดียวกัน เปิ้ลจึงมักติดมอเตอร์ไซค์ผมไปทำงานด้วย ระยะแรกผมไม่ได้สนิทสนมกับเปิ้ล ว่าไปแล้วคุ้นเคยกับฝ่ายสามีมากกว่าเพราะมักจะนั่งดื่มเหล้าด้วยกันหน้าห้องเช่าเสมอๆ

เข้าไปใหม่ๆ เปิ้ลได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้สอนงานผม ผมตั้งใจทำงานเก็บเงินให้พ่อแม่และส่งน้องเรียน นอกจากเหล้าที่กินกับเพื่อนร่วมห้องแล้ว ผมแทบไม่ได้ไปโต๋เต๋ที่อื่นเลย เงินวีกออกผมก็ส่งให้น้องให้แม่ เหลือติดตัวไม่มาก จึงต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

และข้อนี้เองที่ดูเหมือนทำให้ผมเข้ากับเปิ้ลได้ดี สามีเธอดื่มหนัก เหล้าเข้าปากไม่เมาไม่เลิก ที่สำคัญไม่เคยมีวันไหนที่ไม่ดื่ม หลายต่อหลายครั้งเปิ้ลจึงมักติดรถ ผมกลับบ้านด้วยเสมอ และชอบบ่นเรื่องสามีให้ฟังอยู่ไม่ขาด

ด้วยความเป็นคนพื้นถิ่นเดียวกัน ภาษาบ้านเกิดจึงออกจากปากเรา บางทีสามีเธอก็ค่อนขอดเพราะมักฟังไม่เข้าใจ ผมกับเปิ้ลมักใช้สรรพนามแทนกันว่าพี่กับน้อง ผมรู้สึกกับเธอเหมือนพี่กับน้องจริงๆ แม้เธอจะอายุงานมากกว่า แต่ผมอายุจริงแก่กว่าเธอถึงห้าปี แก่กว่าสามีเธอสามปี ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบเรียบ ไม่มีปัญหาอะไร พอสามีเธอต้องกลับบ้านไปดูแลแม่ที่ป่วยหนักนี่สิ! เฮ้อ!

ผมรู้สึกแย่ที่บังคับตัวเองไม่ได้ การได้กินข้าวด้วยกันทุกวัน ไปทำงานและกลับด้วยกันทุกวัน กลับบ้านมาก็มักมาดูละคร ฟังเพลงที่ห้องผมประจำ แม้จะเพียงสามสิบวันแต่ก็นานพอให้เราสองคนเผลอไผลไปมากกว่าเพื่อน เกินกว่าพี่น้อง

เปิ้ลบอกว่าพยายามบังคับตัวเองเช่นกัน แต่คนเราพอมีครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ตามมา บวกกับการที่เธอเหงาและผมดูแลเธอได้ พูดคุยได้ทุกเรื่อง นานวันเข้าก็ยอมรับว่าชอบเปิ้ลเหมือนกัน

แต่เธอมีสามีแล้ว! ผมบอกตัวเองเช่นนี้เสมอ ยิ่งสามีเธอโทรศัพท์มาบอกว่าอีกสามวันจะกลับแล้ว ผมกับเธอแทบไม่ห่างกันเลย เราคลุกคลีในห้องกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่ไปทำงานด้วยซ้ำ จนคืนก่อนสามีเธอจะกลับ เปิ้ลบอกผมว่า จะเลิกกับสามีเธอแล้วมาอยู่กินกับผม

“เราลาออกจากโรงงาน ย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยกันนะ” เปิ้ลชักชวน ผมยังลังเล ด้วยงานที่มั่นคงและการต้องส่งเสียน้อง อีกทั้งไม่มั่นใจชีวิตคู่ด้วย

ห้องเราติดกันเพราะฉะนั้นคืนแรกที่สามีเธอกลับมา จะด้วยความหึงหวงที่ผมเองไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน เมื่ออดคิดไม่ได้ว่าผัวเมียห่างกันเป็นเดือนๆ จะต้องทำอะไรกันบ้างในคืนแรกๆ ที่ต้องกลับมาเจอกัน

เช้าวันต่อๆ มา ทุกเช้าเปิ้ลมักจะพูดว่า ตัวน้องอยู่กับเขาแต่หัวใจอยู่กับพี่ ยิ่งทำให้ผมทุรนทุรายมากขึ้น

“ขอเวลาอีกหน่อยนะพี่ หนูกำลังหาทางเลิกอยู่”

ไม่กี่วันถัดมาคาดว่าสามีเธอคงรู้เรื่องจากเพื่อนในที่ทำงานและอาจจะจากเพื่อนข้างห้องคนอื่นๆ ถึงแม้ทุกคนจะทำตัวไม่ยุ่งเรื่องใคร แต่เรื่องแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร

คืนแรกที่ได้ยินเสียงเปิ้ลร้องไห้ ผมทั้งอดสงสารไม่ได้ น่าแปลกที่ไม่ได้ยินเสียงทะเลาะ และสามีของเธอก็ไม่ได้มาอาละวาดผมตามที่คิด

เช้ามาผมไม่ได้ยินเสียงจากในห้อง สามีเธอบอกที่ โรงงานว่าเปิ้ลไม่สบาย ไม่มาทำงาน เลิกงานผมก็รีบกลับห้อง พยายามโทร.ถึงเปิ้ลแต่เธอไม่รับสาย ผมแอบใช้เก้าอี้ต่อให้สูงเพื่อมองลอดบานเกล็ดเข้าไปก็เห็นเปิ้ล นอนหันหลังให้ มีผ้าห่มๆ อยู่ ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ กระซิกๆ แต่เธอไม่ยอมหันหน้ามาเลย โทร.เข้าก็มีแต่เสียงเรียกเข้า เธอไม่ลุกไปรับ ผมไม่กล้าแอบมองนาน เกรงสามีเธอจะกลับมาเห็น

คืนนั้นสามีเธอไม่กลับห้อง รุ่งเช้าก็ไม่ไปทำงาน ถามเพื่อนก็ไม่มีใครเห็นใครรู้ ถัดอีกวันกลับจากงานก็ยังเห็นเปิ้ลนอนหันหลังร้องไห้กระซิกๆ โทร.ไปก็ไม่รับ ทำไมก็ไม่รู้

วันที่สามถึงได้ทราบว่าสามีเธอลาออกจากงานแล้ว กลับมาถึงห้องผมแปลกใจที่ทำไมเปิ้ลเอาแต่นอนร้องไห้ในห้องไม่ทำอะไรมากกว่านี้

“พี่ไม่เห็นนะ ว่าเปิ้ลจะออกจากห้อง” พี่ดูแลห้องเช่าบอก “กุญแจก็ไม่มี”

ผมปีนมองผ่านบานเกล็ดอีกครั้ง เปิ้ลยังเอาแต่นอนบนเตียง จะเคาะจะเรียกอย่างไรก็ไม่ออกมา แต่พอทุกคนพูดตรงกันว่าไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ ทั้งๆ ที่ผมได้ยินอยู่เต็มสองหู นาทีนั้นเองผมตัดสินใจพังประตูเข้าไปโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของพี่ดูแลห้อง

แล้วผมก็เห็นเปิ้ลนอนบนเตียงจริงๆ เมื่อเข้าใกล้และพยายามดึงตัวเธอหันมา ผมกลับพบว่าภายใต้ผ้าห่มนั้นมีแต่เพียงกองผ้าและหมอนข้างวางสุมกัน ศีรษะของเธอกลิ้งตกลงมาจากหมอน ดวงตาเบิกค้างใบหน้าบวมหมองคล้ำ ทราบต่อมาว่าถุงดำที่ผมก้มลงไปเห็นอยู่ข้างเตียงอีกฝั่งนั้นบรรจุชิ้นส่วนร่างกายของเปิ้ลที่ถูกตัดหั่นเป็นชิ้นๆ!

ผมจึงได้รู้ความจริงอันน่าขนลุกตอนนั้นเองว่า เสียงร้องไห้ที่ผมได้ยินมาตลอดสามวันมาจากศีรษะที่ไร้ร่างนั้นเอง!

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันนี้ไม่มีเนื้อหมู

วันนี้ไม่มีเนื้อหมู


ตั้งแต่เนื้อหมูราคากิโลกรัมละ 170 บาท ป้าแป๊ดก็เริ่มไม่ค่อยอยากทำอาหารชนิดที่ต้องใช้เนื้อหมูเป็นเครื่องปรุง แม้ป้าแกจะขาย จานละ 35 บาทก็ตาม หลังจากเนื้อหมูขยับเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท แกก็ติดป้ายหน้าร้านแจ้งแก่ลูกค้าทันที

"วันนี้ไม่มีเนื้อหมู"

ร้านอาหารตามสั่งของป้าแป๊ดอยู่มุมสุดของ ซอยตันแห่งหนึ่ง กว่าจะเดินทางไปรับประทานได้ต้องเป็นคนที่ติดใจฝีมือปรุงอาหารของแกจริงๆ ร้านแกขายดีมาก ลูกค้าต้องรอนาน เพราะป้าจะปรุงอาหารอย่างไม่รีบร้อน แต่ลูกค้าก็พร้อมจะรอ แกรู้เรื่องนี้จึงมักมีพวกอาหารว่าง ขนมนมเนยต่างๆ วางไว้ให้ขายซึ่งก็ขายดีมากเช่นกัน

ยุทธเองก็ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย เพราะทั้งห้องเช่าและที่ทำงานก็ไม่ได้ไกลจากร้าน เรียกว่าสัปดาห์หนึ่งต้องกินอย่างน้อยก็หนึ่งวัน ยุทธติดใจกะเพราหมูไข่ดาวกับหมูย่างราดข้าวของแกอย่างมาก อาหารประเภทต้องใช้เนื้อหมูเป็นส่วนประกอบก็เป็นเมนูนิยมประจำร้าน

พักหลังยุทธตกงาน จึงไม่ค่อยได้ไปร้านป้าแป๊ดบ่อย ครั้งล่าสุดที่ไปยุทธสังเกตเห็นว่าป้าแกเก็บถังแก๊สไว้นอกบ้าน อีกทั้งประตูหลังมักปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่กุญแจล็อกไว้ ยุทธลงมือสืบความเป็นไปของแกและของร้าน แวะเวียนมาดูลาดเลาหลายครั้ง

หลังร้านปิดตอนสองทุ่ม เด็กเสิร์ฟสามคนในร้านกลับกันหมด ป้าแป๊ดก็จะอาบน้ำ นั่งดูละครทีวีไปเรื่อยจนง่วงนอนก็จะนอน ป้าแกไม่มีลูกไม่มีผัว อยู่คนเดียวมานาน คนในละแวกนินทากันว่าป้าแป๊ดเก็บเงินในบ้าน นานๆ ทีแกถึงจะไปธนาคารสักครั้งผิดกับพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่มักจะไปธนาคารทุกวัน

เงินกำลังจะหมด งานก็หาไม่ได้ เมื่อเห็นช่องทาง ยุทธจึงตัดสินใจลงมือ

ไฟบนห้องชั้นสองริมหน้าต่างของป้าแป๊ดปิด ยุทธมองจากอีกฝั่งของถนน เขาตั้งขาตั้งมอเตอร์ไซค์ เตรียมยางยืดไว้รัดถังแก๊สกับเบาะ เขาคิดว่าหาอะไรพอแบกได้ ยัดใส่กระเป๋าได้ก็จะหยิบฉวยให้หมด เมื่อเดินไปถึงประตูหลัง ยุทธเล็งแก๊สขนาด 15 ก.ก. ไว้แล้ว เดี๋ยวขาออกจะมาลาก ก่อนจะจัดการหมุนลูกบิดผลักเข้าไปเบาๆ ห้องด้านหลังเป็นที่เก็บอาหารสดและเครื่องมือครัว แต่ก็มีกลิ่นประหลาด ยุทธเดาว่าอาจจะเป็นกลิ่นเนื้อสัตว์ที่ติดตามผนังและที่สำคัญกลิ่นธูป ยุทธกวาดตาไปเห็นธูปที่ป้าแกจุดไว้ ยุทธสบถสองสามคำด่าว่าป้าที่ประมาท เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก ป้าเอ๋ย นึกแล้วก็เดินไปดับธูป ยุทธรู้มาว่าลูกจ้างของป้าแกจะมาตอนตีห้า ส่วนป้าแกจะลงมาไปตลาดตอนตีสาม ตอนนี้สองทุ่มเศษ ยุทธเห็นว่ามีเวลาอีกมาก จึงไม่รีบร้อน แต่ถึงอย่างไรก็เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน มีกุญแจล็อกไว้ทว่าตัวนิดเดียว ยุทธจัดการงัดทีเดียวก็หลุด ในลิ้นชักมีเศษเหรียญและธนบัตรไม่มาก ดูจากสายตาประมาณสองพันบาท ยุทธกวาดลงกระเป๋าเป้หมด ที่นี่คงไม่ใช่ที่เก็บเงินแน่ ถ้าเดาไม่ผิด ป้าแกคงเก็บเงินไว้ใกล้ตัว แต่มันก็เสี่ยงเกินไป

ยุทธกวาดตามองหาอะไรที่พอจะแปรเป็นเงินได้ แน่นอนแก๊สปิกนิกสองลูกตรงนั้นผูกพ่วงข้างก็น่าจะเอาไปได้ พวกมีดอีกคงขายได้ กระทะ ตะหลิวพวกดูแพงๆ คงแปรได้หลายเงินหรอก ยุทธจัดการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมีด ห่อตะหลิว ทันใดเขารู้สึกพวกกลิ่นที่ติดตามผนังรบกวนการหายใจของเขามาก มันเหม็นสาบยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากจะอยู่นาน พลางเห็นตู้แช่ขนาดใหญ่ จึงนึกถึงอาหารสด อาจจะพอติดไม้ติดมือเก็บไว้กินได้หลายวัน ถ้าเกิดมีนะ ยุทธจึงไม่รีรอ จัดการลากถังแก๊สไปสองถังรอที่ประตู พร้อมพวกข้าวของที่หยิบฉวยไว้แล้ว ก่อนตรงไปที่ตู้แช่แข็ง

เมื่อเปิดออกยุทธถึงกับผงะ ตาเบิกโพลงกว้าง ม่านตาขยายเต็มที่ด้วยความตกใจกลัว สิ่งที่ยุทธเห็นก็คือ ซากแขนซากขาและเนื้อมนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่ในตู้ ยุทธยืนขาสั่น นี่มันหมายถึงอะไร เขาถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว สติสตังและมือไม้ไม่อยู่กับตัว ความกลัวจู่โจมจับใจ ทันใดรู้สึกเหมือนมีใครสะกิดจึงหันหลัง แล้วโลกทั้งใบของยุทธก็หายวับ!

ยุทธนอนเลือดนองกับพื้น มีมีดอีโต้ปักกลาง หน้าผาก ป้าแป๊ดบ่นว่า "ใครใช้ให้มาดับธูปกู แส่ไม่เข้าเรื่อง" ก่อนจะจัดการร่างของยุทธและเช็ดถูพื้น

ตอนที่เด็กเสิร์ฟมาถึงร้านตอนฟ้าสาง ป้าแป๊ดแกก็จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แกเขียนอักษรตัวเท่าหม้อแกงบนกระดาษเอสี่ นำไปติดหน้าร้านว่า

"วันนี้มีเนื้อหมู"

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไอน้ำที่กระจก

ไอน้ำที่กระจก


สมัยเรียนต่อในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ก่อนที่พ่อจะซื้ออพาร์ตเมนต์ให้ หลินก็ได้ป้าน้ำใจนี่แหละที่ให้ที่พักอาศัยอยู่หลายเดือน ป้าน้ำใจมีน้ำใจสมชื่อ นอกจากที่พักที่สะอาด มีอาหารการกินครบสามมื้อแถมขนมอร่อยๆ มีให้รับประทานทุกวัน ป้ายังพาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่อยู่ตลอด เมื่อป้าน้ำใจกลับไปอยู่บ้านเดิมที่ต่างจังหวัดแล้วเกิดป่วย หลินจึงรีบรุดไปเยี่ยมป้าทันทีที่ได้ข่าว

ป้าน้ำใจป่วยด้วยโรค "คนแก่" อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ป้าเพิ่งช็อกเพราะน้ำตาลในเลือดสูง โชคยังดีที่ลูกสาวป้ากลับจากทำงาน พอมาถึงโรงพยาบาลป้ามีไข้สูง เจ็บคอร่วมด้วย หมอจึงเจาะเลือดไปตรวจและให้ป้านอนพักรักษาตัว วันที่หลินมาถึงป้าก็อาการดีขึ้นมากแล้ว

ป้าน้ำใจรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่เพิ่งเปิดใหม่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร เป็น โรงพยาบาลที่เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน ตามทางเดินภายในโรงพยาบาล ทั้งห้องอาหารและร้านค้าผู้คนมาใช้บริการก็ไม่มาก ตกดึกยิ่งเงียบมากกว่าตอนกลางวัน ยิ่งในเวลานี้ที่แม้จะค่ำแล้วแต่ฝนยังตกหนักอยู่ภายนอกอาคารมาตั้งแต่บ่าย มองจากภายในไปด้านนอกเห็นฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ท่ามกลางความมืดมิดภายนอก แต่ภายในกลับอุ่นสบาย หลินมองสายฝนไปด้านนอกกระจกอย่างเพลิดเพลิน ผู้ช่วยพยาบาลกำลังเช็ดตัวป้า เธอจึงขอตัวลงมาเดินเล่นและหาอาหารลงท้องสำหรับมื้อเย็น

หลินวาดนิ้วเป็นวงกลมไปบนกระจกห้องอาหาร ด้านนอก ณ มุมนี้เช่นเดียวกันที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล เธอมองไปด้านนอกเห็นชายคนหนึ่งเดินฝ่าสายฝนจากอาคารหนึ่งไปยังอีกอาคารหนึ่ง เวลาของเธอผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอมองชายคนนั้นจนเข้าสู่อาคารอย่างไม่รู้จะทำอะไร หลินลากนิ้วไปตามกระจกเล่น รอยไอน้ำปรากฏเป็นข้อความ "คิดถึง" เมื่อรู้สึกตัวเธอจึงแอบอมยิ้มแล้วรีบลบข้อความทิ้ง

หลินแอบชอบพี่เอก พี่ที่ทำงานมากว่าปีแล้วตั้งแต่เข้าทำงาน หลินพยายามแสดงตัวให้เขารู้ถึงความรู้สึกของเธอทีละน้อย ตอนเช้าก่อนขึ้นเครื่อง เธอแอบโทร.ถึงเขาบอกให้รู้ว่าเธอต้องเดินทางไกลไปดูแลญาติ เขาบอกให้รักษาตัวด้วยและเดินทางปลอดภัย เพียงแค่นี้หลินก็มีความสุขแล้ว

หลินสังเกตว่าฝ้ากระจกจับตัวดูหนามาก เธอมองไปรอบตัว มีคนมาใช้บริการห้องอาหารพอสมควร หลินจึงลุกขึ้นเดินออกไปตามทางเดินสู่อาคารที่ป้านอนพัก ตามทางเดินแคบๆ สองข้างที่ยังอยู่ภายในอาคารกรุด้วยกระจกนั้นยังมืดและดูมืดมากกว่าเสียด้วยซ้ำเพราะมองออกไปภายนอกเหมือนเป็นป่าหญ้าและที่รกร้างว่างเปล่า หลินยกฝ่ามือลากเล่นไปเรื่อยๆ ปรากฏเป็นรอยฝ่ามือลากยาวไปตลอดทางที่เธอเดิน

เวลานั้นเองที่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าหลินจึงหยุดเดินและล้วงกระเป๋าพลางกดรับสาย พี่เอกนั่นเองที่โทร. มา หลินอมยิ้มพูดจาคะขาอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเองที่หลินตกใจตาโตและเงียบไป พี่เอกถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ปะ เปล่าค่ะพี่ ไม่มีอะไร เดี๋ยวอีกสักพักหลินโทร.ไปหานะคะ" หลินรีบเก็บโทรศัพท์แล้วมองรอยฝ้าบนกระจกพลางเดินถอยห่างจนแทบชิดอีกฝั่งอย่างพยายามควบคุมตัวเองจนชนเข้ากับนางพยาบาลคนหนึ่ง

"โทษค่ะ" หลินพูด นางพยาบาลมองหลินแล้วรีบถาม "มีอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่สู้ดี"

หลินยังตอบเหมือนที่ตอบพี่เอก ก่อนจะนึกขึ้นได้ "พี่เห็นรอยฝ้าบนกระจกหรือเปล่าคะ"

"ค่ะ มีอะไรหรือคะ"

"มันลากยาวไปข้างหน้าจนสุดกระจกใช่ไหมคะ"

"ใช่ค่ะ" นางพยาบาลสงสัย "มีอะไรหรือเปล่าคะที่ดิฉันช่วยได้ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะคะ"

หลินอยากจะตอบว่าก็เธอหยุดยืนอยู่ตรงนี้ แล้วรอยลากที่ลากต่อไปจนสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร และที่สำคัญก็เพราะเป็นโรงพยาบาลน่ะสิ ทำให้เธอขนลุกและเสียวสันหลังวาบ แต่เธอกลับตอบไปว่า "คือ คือ เปล่าไม่มีอะไรคะ" พูดจบหลินก็รีบเดินออกจากที่นั่นและรีบกดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องของป้าน้ำใจอย่างไม่ลังเล

บนห้องหลินรีบเล่าให้ป้าฟังอย่างตกอกตกใจ "หนูเดินเพลินๆ เห็นไอน้ำเกาะหนาหนูก็ลากมือเล่นไปเรื่อยไปตามกระจก มันเย็นดี แต่ตอนหนูหยุดเดิน รอยลากยาวมันกลับไม่หยุด มันลากต่อไปจนหมดผนังที่เป็น กระจก หนูเดินคนเดียวนะคะ รอบตัวก็ไม่มีใคร จนกระทั่งนางพยาบาลคนนั้นที่หนูเดินชนนั่นแหละค่ะ"

ป้าน้ำใจนิ่งไป "โรงพยาบาลนี่ก็เพิ่งเปิด ป้าอยู่จังหวัดนี้มาหลายปีก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าน่ากลัวๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาลนี้นะ" ป้าเว้นจังหวะพลางหยุดคิด "ว่าแต่ตะกี้ก่อนเข้าที่หนูเคาะกระจก หนูเดินคุยมากับใครรึเปล่า" หลินตอบ "ไม่นี่คะ หนูเดินมาคนเดียว"

"แต่ป้าเห็นผู้ชายยืนข้างแก ตอนแกเคาะประตูห้องนะ ป้ามองไป เขายังยิ้มให้ป้าเลย แล้วนี่เขาไปไหน"

โทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ หลินยกดู เป็นสายจากเพื่อนสนิทที่ทำงาน ฝั่งนั้นพูดอย่างตกอกตกใจ

"นี่แก รู้ข่าวพี่เอกที่แกแอบชอบเขาอยู่หรือยัง"

"ข่าวอะไร"

"รถคว่ำน่ะ" เพื่อนรีบพูด "ตอนบ่าย ตรงรัชดาฯ ทางโค้งนั่นน่ะ คาที่เลยแก"

ทันใดนั้นเองหลินรู้สึกว่าเบาะเก้าอี้รับแขกที่เธอนั่งอยู่ยวบลงอย่างรู้สึกได้

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไปพิสูจน์ผี

ทุกวันนี้โลกของเราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่อง เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร การแพทย์ การ คมนาคม หรือทางด้านอวกาศ มนุษย์เราสามารถค้นคว้าทดลอง วิจัย พิสูจน์จนล่วงรู้ถึงความเป็นมาของสิ่งต่างๆ แต่ในโลก นี้ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า ผีมีจริงหรือไม่!
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบถกเถียงและพูดคุยเรื่องผีๆ กับเพื่อนๆ เสมอและก็ต้องเชื่อว่าผีมีจริงก็คราวนี้เอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนผมเรียนอยู่ชั้น ม.4 หลังเลิกเรียนผมกับ เพื่อนๆ ประมาณ 7 คนมักจะชอบชวนกันไปเล่นเตะบอลที่สนามโรงเรียน เล่นเตะบอลเสร็จก็พากันจับกลุ่มนั่งคุยจนมืดค่ำจึงเข้าบ้าน
อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันศุกร์ พอเล่นบอลเสร็จพวกเราก็จับกลุ่ม คุยกันเหมือนเช่นเคย คุยไปคุยมาก็หยุดตรงเรื่องผี ผมเกิดอาการอยากลอง ของขึ้นมาทันที
“เฮ้ย พวกเรากูว่าไปพิสูจน์กันดีกว่าว่าผีมีจริงเปล่า” ผมพูดชักชวน เพื่อน
“เชิญพวกมึงไปเถอะ เรื่องนี้กูขอตัว” ไอ้วุธเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็น คนกลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกรีบปฏิเสธ
“ไอ้วุธ มึงจะกลัวอะไรวะ พวกเราไปกันตั้ง 7 คน”
“เออ มึงจะกลัวอะไรวะ กูยังไม่กลัวเลย” ไอ้ปิ๊ค เพื่อนอีกคนพูด เสริม
“หรือว่ายังไง ไอ้เอก ไอ้หนึ่ง ไอ้ติ๊ก”
“ตกลง ไปไหนก็ไปกันสิวะ”
ไอ้เอก ไอ้หนึ่ง ไอ้ติ๊ก ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก จบคำพวกเรา ทั้ง 7 คนก็มุ่งหน้าไปยังอาคารเรียนหลังเก่า
เป็นอาคารเรียนที่ได้รับการกล่าวขานจากพวกภารโรงว่าผีดุและ เฮี้ยนมาก แม้กระทั่งกลางวันแสกๆ ก็ออกมาหลอกหลอนทั้งนักเรียนและ ครูจนจับไข้หัวโกร๋นมานักต่อนักแล้ว
ตัวอาหารทำด้วยไม้ 3 ชั้น แต่ละชั้นมี 12 ห้อง แต่มีอยู่ห้องหนึ่งที่ เขาลือกันว่าผีดุจริงๆ ก็ชั้น 3 ห้อง 12 ซึ่งพวกภารโรงพูดกันว่าห้องนี้มี นักเรียนหญิงผูกคอตายในห้อง..
ก่อนถึงที่หมายทุกคนก็ตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้นำทาง
“พวกมึงไม่ต้องเถียงกันหรอก กูจะเป็นคนนำหน้าพวกมึงเอง”
“ไอ้ปิ๊ค มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่กลัว” ผมพูดขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
“คนอย่างปิ๊ค ไม่เคยกลัวสิ่งที่ไม่มีในโลกโว้ย”
ตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ ฝูงค้างคาวออกหากิน สายลมพัดมา แต่ไม่แรงนัก สายตาของพวกเราทุกคนยังพอมองเห็นสิ่งต่างๆ ลางๆ
ไอ้ปิ๊คเดินนำหน้า ตามด้วยผม ไอ้เอก ไอ้หนึ่ง ได้ติ๊ก และแน่นอน ที่สุด คนสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไอ้วุธ ผู้ที่กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ พวกเราพากันเดินอย่างเงียบที่สุด พอถึงบันไดพวกเราก็ต้องชะงัก
“ไอ้ปิ๊ค มึงหยุดทำไมวะ ทำไมไม่เดินต่อ”
“พวกมึงได้ยินเสียงอะไรไหมวะ -ตึก ตึก ตึก- “เสียงเหมือนมีใคร กำลังเดินลงมา”
ไอ้ปิ๊คพูดยังไม่ทันขาดคำ พวกเราก็เห็นมีร่างคนกำลังเดินลง บันไดมาอย่างช้าๆ
“เฮ้ย พวกเราเห็น ผะ ผะ ผี”
ยังไม่ทันที่พวกเราจะใส่เกียร์หมาวิ่งร้อยเมตร ก็มีเสียงตะโกน ตอบมาว่า
“ผีที่ไหนละคุณ จำลุงไม่ได้เหรอ”
พวกเราชักเท้ากลับ แต่ยังไม่แน่ใจว่าเสียงที่ตะโกนมานั้นเป็นผี หรือคน เมื่อร่างนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาในระยะใกล้ พวกเราต้องถอนหายใจ เฮือกใหญ่
“โธ่ ลุงนิยมนี่เอง เล่นเอาพวกผมตกใจแทบช็อก แล้วลุงมาทำ อะไรที่นี่ล่ะ”
ลุงนิยมที่พวกผมเจอ เป็นภารโรงอยู่ในโรงเรียนครับ
“อาจารย์ใหญ่เขาใช้ลุงมาเอาหนังสือที่นี่ แล้วพวกคุณมาทำอะไร ที่อาคารหลังนี้ ไม่กลัวผีหลอกหรือครับ”
“ไอ้กลัว มันก็กลัวครับ แต่พวกเราก็อยากพิสูจน์ว่าผีมันมีตัวตน จริงหรือเปล่า” ไอ้ปิ๊คสาธยาย
“ว่าแต่ลุงหายไปไหนมา พวกผมไม่เห็นลุงเป็นอาทิตย์เลยนะ”
“อ๋อ.. ลุงกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดมา”
“แล้วลุงมาที่นี่ไม่กลัวผีหลอกหรือครับ”
“ลุงไม่กลัวหรอกครับ แต่ลุงว่าพวกคุณกลับบ้านไปเถอะครับ ผีเขา อยู่ของเขาดีๆ อย่าไปรบกวนเขาดีกว่า”
ได้ยินลุงนิยมพูดอย่างนั้น ผมหันมาปรึกษาเพื่อนๆว่า จะกลับ บ้านหรือจะพิสูจน์กันต่อ แต่ยังไม่ทันจะตกลงลุงนิยมก็พูดย้ำอีกว่า
“พวกคุณกลับบ้านกันไปเถอะ เชื่อลุงนะครับ”
“เฮ้ย ว่ายังไง กูว่ากลับบ้านกันดีกว่า ไม่ต้องไปพิสูจน์ให้หัวโกร๋น หรอก แค่นี้กูก็กลัวจนเยี่ยวจะแตกอยู่แล้ว”
ไอ้วุธวิงวอนให้กลับบ้าน ทำท่าขนลุกขนชัน
เราตกลงกันได้ด้วยเสียงส่วนมากบอกให้กลับบ้าน ผมเลิกล้ม ความตั้งใจ ระหว่างเดินกลับ.. ได้วุธเป็นคนช่างสังเกตมันเลยถามผมว่า
“ไอ้เอ้ มึงสังเกตอะไรหรือเปล่าวะ”
“สังเกตอะไรของมึง”
“ก็ลุงนิยมน่ะสิ กูว่าดูท่าทางหน้าตาแกแปลกๆ ไป”
“ไอ้วุธกูว่ามึงอย่าคิดมากเลย มาคิดเรื่องแก้ตัวกับพ่อแม่ดีกว่า ตอนนี้มันสามทุ่มแล้วนะโว้ย”
ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ตกลงว่าจะแก้ตัวกับพ่อแม่ว่าไปทำ รายงานบ้านอาจารย์ที่อยู่หลังโรงเรียน
วันจันทร์พวกเราทุกคนไปเรียนตามปกติ แต่ทุกคนก็แทบช็อกเมื่อรู้ ข่าวว่าลุงนิยมแกตายไปแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วคนที่ยืนคุยกับพวกเรา เมื่อคืนก็เป็นผีลุงนิยมน่ะสิ !!
ตั้งแต่วันนั้นเราทุกคนเชื่อแบบพันเปอร์เซ็นเต็มว่า ผีมีจริงในโลก และไม่กล้าไปที่อาคารเรียนหลังนั้นอีกเลย.

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตุ๊กตาที่ทำมาจากคนตาย

ตุ๊กตาที่ทำมาจากคนตาย


ตุ๊กตาตัวนี้มาจากประเทศญี่ปุ่นทำขึ้นมาจากผิวหนังของคนที่ตายแล้ว ซึ่งผู้ครอบครองรับรู้ได้ถึงความเย็นชา และสิ่งของที่เคยมีชีวิต

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตุ๊กตารัสเซีย Katja

ตุ๊กตารัสเซีย Katja


ตุ๊กตาตัวนี้มีที่มาจากตำนานของนางสนมรายหนึ่งของพระเจ้าซาร์ เมื่อปี 1730 เรื่องเล่าว่า สนมนางนั้นตั้งครรภ์ และเธอคาดหวังว่าจะได้บุตรชาย แต่โชคร้ายเด็กน้อยที่คลอดออกมากลับเป็นเพศหญิงและมีรูปร่างไม่สมบูรณ์ เด็กจึงถูกเผาทั้งเป็น ด้วยความโศกเศร้าของผู้เป็นแม่จึงนำเอากระดูกมาผสมกับดินและทำเป็นตุ๊กตา เชื่อกันว่า ตุ๊กตาถูกเก็บรักษาอย่างดี เพราะมันคือสิ่งที่นำมาซึ่งคำสาปจากเด็กน้อยที่ทุกข์ทรมานจากการถูกเผา

มีเรื่องน่าขนลุกว่า ถ้าคุณจ้องตา Katja ประมาณ 20 วินาที ตุ๊กตาตัวนี้จะกระพริบตา นอกจากนี้ยังมีคนพยายามประกาศขาย Katja ทางอีเบย์ แต่ภายหลังเว็บไซต์ชื่อดังกลับสั่งระงับการขาย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมากมาย

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตุ๊กตา จูเลียต

ตุ๊กตา จูเลียต


เอมิเลีย คือตุ๊กตาผีจากอิตาลี คุณพ่อชาวอิตาเลียนมอบให้ลูกสาวเพื่อเป็นของขวัญ แต่ลูกสาวของเขาเสียชีวิตจากการเกิดสงคราม ขณะที่ตุ๊กตาตัวนี้ก็สูญเสียแขนทั้งสองข้างและหนังศีรษะ ผู้เป็นแม่เชื่อว่าตุ๊กตาตัวนี้มีวิญญาณของลูกสาวสิงอยู่

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตุ๊กตาผี อลิส

ตุ๊กตาผี อลิส


แมร์รี่ ฟอร์ด เป็นเจ้าของตุ๊กตาผีสิงตัวนี้ เธอเล่าวว่าสายตาของอลิสจะมองตามคุณไปรอบๆห้อง และจะแสดงสีหน้าเมื่อเธอไม่ชอบคุณ และจะส่งเสียงกรีดร้องในยามค่ำคืน

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมอร์ซี่ ผีเด็ก

เมอร์ซี่ ผีเด็ก


"เชอร์รี่ คุน" คือเจ้าของตุ๊กตาที่สูงถึง 45 เซนติเมตร ตัวนี้ ซึ่งคาดว่ามีวิญญาณเด็ก 7 ขวบสิงอยู่ ก่อนหน้านี้เธอประมูลตุ๊กตาตัวนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่ามีเรื่องสยองขวัญอยู่จริง และเมื่อได้มันมาครอบครอง เธอใช้การถ่ายภาพและอัดวีดิโอ เมอร์ซี่ ทั้งวันทั้งคืน กลางดึกคืนวันหนึ่งหลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ จู่ๆ วิทยุในห้องก็เปิดขึ้นเองและเปลี่ยนคลื่นไปมาเรื่อยๆ

จากนั้นอีก 2 วัน เชอร์รี่ตื่นขึ้นมาและพบว่าตุ๊กตาหล่นจากตู้ แต่ไม่ได้หล่นลงมาในท่านั่ง มันกลับหล่นลงมาและยืนอยู่บนขาของมันเอง เชอร์รี่ตัดสินใจเก็บตุ๊กตานี้ไว้กับตัวเองแม้ว่าจะมีเรื่องแปลกๆก็ตาม

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คิคุโกะ

คิคุโกะ


ตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่วัดมันเนน หมู่บ้านคุริซาว่า อ.โงจิ ฮอคไกโด เจ้าของตุ๊กตาชื่อว่า "คิคุโก" เธอรักตุ๊กตาตัวนี้มาก หลังจากเธอล้มป่วยและเสียชีวิตลง พ่อแม่ของเธอนำตุ๊กตาตัวนี้ไปไว้กับป้ายวิญญาณเพื่อเป็นเพื่อนเล่น แต่สิ่งที่ประหลาดคือตุ๊กตากลับมีผมยาวออกมาเรื่อยๆ และปากที่เคยหุบสนิทก็เปลี่ยนเป็นเผยอยิ้มขึ้นมาด้วย

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ฮาโรลด์ ตุ๊กตาผีตัวแรกของอีเบย์

ฮาโรลด์ ตุ๊กตาผีตัวแรกของอีเบย์


"ฮาโรลด์" เป็นตุ๊กตาผีสิงตัวแรก ที่ถูกนำมาประมูลในเว็บไซต์อีเบย์ คนขายเล่าประวัติว่ามันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1930 และถูกนำมาใช้สำหรับแสดงหนังสั้นซึ่งหลายคนสังเกตว่ามันค่อยๆขยับร่างกายได้เอง หลังจากนั้นทำให้มันกลายมาเป็นตุ๊กตาผีสิงที่โด่งดังไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ต บทความตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือคลิปวิดีโอที่มีเสียงหมุนนิ้วมือขวา

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แอนนาเบล สุดน

แอนนาเบล สุดน


"เอ็ด วอร์เรน" ชายผู้หลงใหลเรื่องเหนือธรรมชาติ ได้ตุ๊กตาตัวนี้มาจากบาทหลวงที่ขอความช่วยเหลือจากเขา เนื่องจากพยาบาลสาว 2 คน นามว่า "ดอนน่า" และ "แองจี้" ได้เจอกับวิญญาณที่สิงอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ ซึ่งแม่ของดอนน่าซื้อให้เป็นของขวัญ ทั้งสองเล่าวว่า "แอนนาเบล" ย้ายที่ไปเรื่อยๆ ทั้งที่มันถูกตั้งไว้บนชั้นวางของ

หลังจากนั้นไม่นานตุ๊กตาตัวนี้ก็แสดงท่าทางราวกับเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกันทั้งคู่รู้สึกเหมือนถูกแอนนาเบลจ้องมองตลอดเวลา ในที่สุดมันก็ทำร้ายพวกเธอจนต้องมอบตุ๊กตาดังกล่าวให้กับ พิพิธภัณฑ์ออคคัลท์ ของ "เอ็ด วอร์เรน" ทุกวันนี้ยังมีรายงานว่า ทุกๆ อาทิตย์แอนนาเบลจะออกมาจากกล่อง และสร้างความสยองขวัญให้กับผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แมนดี้ ตุ๊กตาผีขี้เล่น

แมนดี้ ตุ๊กตาผีขี้เล่น


หญิงสาวคนหนึ่งบริจาค "แมนดี้" หรือ "มิเรียนด้า" เป็นศิลปะวัตถุในพิพิธภัณฑ์เควสเนล ประเทศแคนนาดา ตั้งแต่ปี 1991 เจ้าของเดิมของ "แมนดี้" เล่าว่า เธอมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับได้ยินเสียงเด็กร้องไห้โหยหวนจากห้องใต้ดิน เธอเดินตามหาเสียงร้องนั้นแต่กลับพบเพียงหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยืนยันว่าเธอปิดหน้าต่างแล้ว หลังจากที่เธอยกแมนดี้ให้กับทางพิพิธภัณฑ์ เธอก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีกเลย แต่เหตการณ์ดังกล่าวกับเกิดขึ้นกับผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ บางรายกล่าวว่าแมนดี้กระพริบและจ้องมองพวกเขา ส่วนเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์มักจะเห็นเธอโผล่ไปอยู่ตามห้องต่างๆ

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตุ๊กตาผีสิง ผูกโบว์สีแดง

ตุ๊กตาผีสิง ผูกโบว์สีแดง


ตุ๊กตาตัวนี้ถูกซื้อมาจากร้านขายของเก่า แต่หลังจากนั้นผู้ครอบครองกลับได้ยินเสียงเด็กวิ่งรอบๆเตียงนอน ต่อมาก็ฝันว่ามีเด็กผู้หญิงชวนไปเล่นด้วย เมื่อตื่นนอนเขาเริ่มเรียบเรียงความฝัน และจำได้ว่าเด็กผู้หญิงในฝัน....ผูกโบว์สีแดง

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลำปางผวาหนัก! ผีกะอาละวาด เจ้าจอมเมฆินทร์

ลำปางผวาหนัก! ผีกะอาละวาด เจ้าจอมเมฆินทร์


ชาวบ้าน 4 หมู่บ้านใน อ.แม่เมาะ ลำปางผวาหนัก หลังเกิดข่าวลือมีชาย-หญิงคู่หนึ่งถูกผีปอบ หรือผีกะ "เจ้าจอมเมฆินทร์" ซึ่งเป็นตำนานผีดูเลือดในพื้นที่แม่เมาะเข้าสิง ออกหากินตามทุ่งนาในเวลากลางคืน ด้าน นอภ.สั่งกำนัน-ผญบ.เร่งชี้แจงทำความเข้าใจ...

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงาน เวลานี้ชาวบ้านจำนวน 4 หมู่บ้าน ใน ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง คือ บ้านเมาะหลวง บ้านใหม่รัตนโกสินทร์ บ้านม่อน และบ้านหนองมะแปบ เกิดความหวาดกลัวผีกะ หรือทางอีสานเรียกว่า ผีปอบ เป็นอย่างมาก หลังมีคนอ้างว่าพบเห็นผีปอบเป็นชายและหญิง ออกมาหากินกลางทุ่งนาในเวลากลางคืน โดยคนที่ถูกผีเข้าสิงนั้น จะจับกบและเขียดมาดูดความเป็นคาวของสัตว์เหล่านั้น หลังจากมีข่าวลือออกไป ทำให้ชาวบ้านมีความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าออกมาเที่ยวออกจากบ้านในเวลากลางคืน

ผู้สื่อข่าวได้เข้าพบกับนายวีระกิตต์ อินทรประสิทธิ์ นายอำเภอแม่เมาะ จ.ลำปาง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง กรณีมีข่าวผีกะหรือผีปอบ ออกมาอาละวาด ได้รับการเปิดเผยว่า ตนได้รับแจ้งจากกำนันผู้ใหญ่บ้านแล้วเช่นกัน แต่ก็ได้กำชับไปว่า ขอให้ไปทำความเข้าใจกับชาวบ้าน กรณีเหตุที่เกิดขึ้นว่า ต้องพิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ และให้ชี้แจงด้วยความละเอียดอ่อน เนื่องจากเป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่น ที่มีความผูกพันในเรื่องผีกะมานาน

ด้านผู้เฒ่าผู้แก่อายุกว่า 90 ปีขึ้นไป กล่าวว่า ในอดีตที่ อ.แม่เมาะ ที่หมู่บ้านแม่เมาะหลวง ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นเหมืองลิกไนต์ มีตำนานผีดูดเลือด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เจ้าจอมเมฆินทร์ ซึ่งคนในลำปางเรียกขานและรู้จักจากคนรุ่นเก่า มาสู่คนรุ่นใหม่ ส่วนผีกะที่ออกอาละวาดในขณะนี้ หากใครพบเห็นจะพบลักษณะของคนที่ผีกะเข้าสิงจะมีดวงไฟสีม่วงอยู่ตรงจุดของดั้งจมูก เพื่อส่องแสงให้เห็นสัตว์ที่จะจับมาดูดกลิ่นคาว แต่ไม่กินร่างของสัตว์นั้น ในเรื่องนี้ใครจะลบหลู่ไม่ได้เพราะยังไม่ได้ข้อพิสูจน์.

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/188561

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดต.ขวัญผวา‘ป้อมผีดุ’ เจอดี-โกยแน่บ

ดต.ขวัญผวา‘ป้อมผีดุ’ เจอดี-โกยแน่บ

ผีหลอกตำรวจ ถึงกับทิ้งป้อมที่ทำการตำรวจชุมชนศาลาครืนรวมใจ ภายในวัดศาลาครืน ย่านฝั่งธนฯ ร้างนานกว่า 2 ปี ชาวบ้าน เห็นบ่อยมาในร่างคนโบราณชุดขาวล้วน เดินหายไปในตอต้นสักหน้าศาลาสวดศพ ตร.เผยเคยทั้งมีที่โดนผีอำธรรมดา จนถึงห้อยหัวลงมาจากเพดาน จนเกือบชิดใบหน้า เผ่นแทบไม่ทัน เลยไม่มีตำรวจกล้าไปพักช่วงออกตรวจตอนดึก เลขาฯเจ้าอาวาสระบุป้อมดังกล่าวเป็นศาลาเก่าปลูกทับป่าช้า

ป้อมตำรวจชุมชนผีดุ เปิดเผยเมื่อเย็นวันที่ 29 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในละแวกวัดศาลาครืน ซอยวุฒากาศ 42 ถนนวุฒากาศ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. ว่าภายในวัดดังกล่าวมีป้อมที่ทำการตำรวจชุมชนศาลาครืนรวมใจ ที่ใช้ศาลาปฏิบัติกรรมฐานของวัดดัดแปลงเป็นที่พักสายตรวจของ สน.บางขุนเทียน เกิดร้างไม่มีตำรวจสายตรวจเข้าประจำการมานานกว่า 2 ปี โดยมีเสียงร่ำลือจากชาวบ้านละแวกดังกล่าวว่ามีเหตุการณ์ลี้ลับสะเทือนขวัญ ทำให้ตำรวจที่มาพักเวรตรวจในยามค่ำคืนไม่กล้าเข้ามาใช้สถานที่ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผีดุ หลอกหลอนในรูปแบบต่างๆ จนเป็นที่โจษจันในชุมชน

หลังรับทราบเรื่องราว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบพบว่าบริเวณโดยรอบที่ทำการดังกล่าวเป็นศาลาปูนชั้นเดียวกว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร หลังคาปูด้วยกระเบื้องดินเผาแบบโบราณ ปลูกอยู่ใกล้ศาลาสวดศพ ติดซุ้มประตูวัด มีบรรยากาศชวนวังเวงในยามค่ำคืน มีชาวบ้านใช้เส้นทางผ่านบางตา นอกจากนี้ยังพบบานประตูด้านหน้าถูกปิดล็อก สอบถามชาวบ้านใกล้เคียงภายในชุมชนสุขศิริ ทราบว่าที่ทำการดังกล่าวถูกใช้งานเฉพาะตอนกลางวัน แต่ช่วงกลางคืนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปประจำการ เนื่อง จากมีผู้ประสบเหตุการณ์แปลกประหลาดหลายต่อหลายครั้ง

สอบถามพระใบฎีกาสันติชัย สันติชโย เลขาฯเจ้าอาวาส วัดดังกล่าว ทราบว่าป้อมตำรวจชุมชนดัดแปลงมาจากศาลาเก่าที่วัดใช้เป็นที่นั่งกรรมฐานของหลวงปู่โต๊ะและสมเด็จพระญาณสังวร ก่อนถูกปิดร้าง จนกระทั่งเจ้าอาวาสปัจจุบันอนุญาตให้ใช้เป็นที่พักตำรวจบ้านเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงหลังไม่มีตำรวจเข้าไปพักในตอนกลางคืน สอบถามพบว่าตำรวจหลายนายถูกผีหลอก ประกอบกับทางวัดขึ้นชื่อเรื่องผีดุ เมื่อตรวจสอบประวัติเก่าๆของทางวัดพบว่าที่ตั้งดังกล่าวเป็นป่าช้าเก่า จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปพักในตอนกลางคืนนานกว่า 2 ปี

ด.ต.วัลลภ ใบศรี ผบ.หมู่งาน ป.สน.บางขุนเทียน หนึ่งในผู้เคยประสบเหตุการณ์ลี้ลับ เผยว่า ตนเคยเข้าไปที่ทำการดังกล่าวกับคู่ตรวจหลังออกตรวจพื้นที่เสร็จในช่วงดึก มักจะโดนผีอำหลายครั้งในลักษณะมีคนมานอนทับที่ศีรษะ บางครั้งรู้สึกว่าเหมือนมีคนแก่ชาย-หญิง แต่งกายแบบโบราณมายกร่างตน ขณะเคลิ้มหลับอยู่บนโซฟา จนกระทั่งตนและเพื่อนไม่กล้าเข้ามาพักในตอนกลางคืน เมื่อตรวจสอบบริเวณอาคารพบว่ามีอีกห้องหนึ่งเป็นห้องเก็บโลงศพและรถเข็นโลง คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิด นอกจากนี้ ทราบมาว่า ด.ต.สวัสดิ์ ว่องไว ผบ.หมู่งาน จร.สน.เดียวกันยังเคยถูกหลอกขณะเข้ามานอนพัก จนต้องวิ่งเผ่นออกจากห้องแทบไม่ทัน เมื่อสอบถามทราบว่า ด.ต.สวัสดิ์เห็นร่างเงาดำคล้ายเพศชาย ห้อยหัวลงมาจากเพดาน จนเกือบถึงใบหน้า ทำให้ตำรวจเกือบทั้ง สน.ที่ทราบเรื่องต่างไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาพักผ่อนในตอนกลางคืน จนทำให้อาคารแทบร้างในเวลาต่อมา ยกเว้นในตอนกลางวันที่มีผู้คนเข้ามาใช้เป็นที่ประชุม หรือกิจกรรมต่างๆร่วมกันหลายๆคน

ด้านนายประสิทธิ์ พึ่งสว่าง อายุ 56 ปี ผู้พักอาศัยใกล้เคียงป้อมดังกล่าว เผยกับผู้สื่อข่าวว่าเคยถูกผีหลอกหลายครั้ง ครั้งแรงที่สุดเคยเห็นเป็นรูปร่างชายตัวสูงใหญ่ นุ่งโจงกระเบนไม่สวมเสื้อ คล้ายคนโบราณ ยืนกอดอก หน้าที่ทำการในช่วงกลางดึก ตนจึงยกมือไหว้ ก่อนร่างนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา นอกจากนี้ ชาวบ้านละแวกนั้นเคยเจอชายชราแต่งกายชุดขาวล้วน เดินหายไปในตอต้นสักภายในวัดหน้าศาลาสวดศพ บ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ ตนจึงอยากให้ทางวัดร่วมกับคนในชุมชนร่วมกันจัดพิธีอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณทั้งหลายเพื่อเป็นการคลายความหวาดกลัวของชาวบ้านในชุมชน ที่ไม่กล้าใช้เส้นทางเดินผ่านในเวลากลางคืนให้กลับมามีสภาพดังเดิม

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/433036

yengo หรือ buzzcity