วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณแม่

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณแม่



"พัชรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอบพิเศษ ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงเลย ดังนั้น จึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่จบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยดี ไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอบก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

ครูติ๊กเป็นครูที่หวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวละก็ ห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย! วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอ ครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

"คุณแม่ยังไม่กลับหรือคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?" ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน...

คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง...ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง "ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว..." ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที่...

เรื่องมีอยู่ เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้น ป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด... ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ

ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ... เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันที และอย่างเคร่งครัดเชียวล่ะค่ะ!


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ ห้องสนธยา

เรื่องเล่าผี ๆ ห้องสนธยา



"ป้าดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก "ชมรมเรารักเพลง"

วันนี้ ป้าดามีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าให้คุณๆ ฟังอีกแล้วค่ะ แถมยังเป็นสถานที่เดิมอีกต่างหาก คือโรงแรมเก่าแก่ริมถนนราชดำเนินกลาง เพียงแต่เป็นคนละงาน เอ๊ย! ชมรมเท่านั้นแหละ

เรื่องที่แล้วน่ะเป็น "ชมรมสามัคคีบำนาญมหาดไทย" โดนผีเพื่อนรักคือ บุหงามาปรากฏตัวในงานซึ่งจัดเดือนละครั้งก่อนวันเงิน เดือนออกหนึ่งวัน ใจจริงน่ะป้าไม่ได้คิดว่าเพื่อนจะมาหลอกหลอนอะไรหรอก แต่วิญญาณดิ่งมาหาเพราะเสียชีวิตกลางทาง

บุหงาอาจจะไม่รู้ตัว หรือต้องการมาล่ำลาเพื่อนฝูงก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด ใครอยากรู้จริงๆ ก็เชิญหาทางถามไถ่เธอเอาเอง ส่วนป้าน่ะต้องขอตัวละค่ะ...คุณหมอท่านบอกว่าป้าหัวใ จไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย

ส่วนเรื่องที่จะเล่าวันนี้เกิดขึ้นที่ "ชมรมเรารักเพลง" จัดทุกวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน จัดกันมาหลายปีดีดักจนเขามีห้องส่วนตัวเอาไว้ให้พวกเ ราสนุกสนานเฮฮากัน โดยเฉพาะพวกโปรดปรานการร้องเพลงมาตั้งสมัยหนุ่มๆ สาวๆ บอกว่าชอบที่สุด ตั้งแต่เวลา 10.30 น.-14.00 น.

ใครมาก่อนก็ได้โชว์ลูกคอก่อน ส่วนมากหนีไม่พ้น สุนทราภรณ์ หรือสุเทพ ชรินทร์ จินตนา บุษยา สวลี อะไรพวกนี้หรอกค่ะ เพลงวัยรุ่นนี่อย่าพูดถึงให้เสียเส้นเปล่าๆ

ค่าบุฟเฟต์ก็หัวละ 350 บาทเท่านั้นเองนะคะ ทั้งอิ่ม ทั้งสนุก คุ้มแสนคุ้มค่ะ

ขนาดดื่มกินและผลัดเปลี่ยนเวียนกันโชว์เสียงขนาดนี้ เชื่อมั้ยคะว่าหลายๆ คนยังไม่เต็มอิ่ม ออกมาก็เลี้ยวขวาไปครัวราชดำเนิน อ้างว่าชอบกินปลาตะเพียนทอดไร้ก้างสุดอร่อย แต่ไม่ยักนั่งห้องด้านนอกหรอกคุณ...โน่น! ผลักประตูกระจกเข้าไปด้านในที่ต่างก็ตะโกน ตะเบ็งเสียง โดยเรียกว่าเป็นการร้องเพลงกันอึกทึกครึกครื้น

เฮ้อ...คิดอีกทีก็น่าเห็นใจค่ะ ทำงานงกๆ เหน็ดเหนื่อยมาตลอดชีวิต แก่ตัวเข้าก็ถือโอกาสหาความสุขใส่ตัวเป็นการชดเชยเวล าที่ผ่านไปแล้ว หรือไม่ก็ระลึกถึงอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับไปได้อีกเลย

จริงอย่างที่เขาว่านะคะ...วัยเด็กมีแต่ปัจจุบัน วัยหนุ่มสาวมีแต่อนาคต ส่วนวัยชราก็มีแต่อดีตเอาไว้ให้หวนคะนึง หรือเล่าสู่กันฟังจนกว่าจะถึงวันนั้น...วันของเรา...

อุ๊ยตายจริง! ป้าก็มัวแต่เพ้อเจ้อตามประสาคนแก่...เอ๊ย! ผู้สูงอายุ หลงๆ ลืมๆ จนเกือบไม่ได้เล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังแล้วไหมล่ะ !

ตอน บ่ายวันเกิดเหตุ คุณลุงคุณป้าคู่หนึ่งกำลังร้องเพลง นกเขาคูรัก เสียงสั่นเครือน่าเอ็นดู ป้ารู้สึกแอร์ค่อนข้างเย็นผิดปกติ ดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้บ่ายสองแล้วก็เลยชวนเพื่อนเลิฟที ่เหลืออยู่สองคน คือสมจิตรกับวันเพ็ญไปเข้าห้องน้ำ แต่สมจิตรอ้างว่ากำลังจะขึ้นไปร้องเพลงหนุ่มนาข้าว สาวนาเกลือ คู่กับคุณพี่วัยต้น 70 พอดี เราเลยออกไปสองคน

นั่นปะไร! ข้างนอกฝนกำลังกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว สงสัย จะต้องยืดเวลาออกไปแน่ๆ เมื่อเสร็จธุระแล้วเราก็กลับมาที่ห้อง...อ้าว? เกิดเข้าห้องผิดเฉยเลยค่ะ

เพลงกรุงเทพฯ ราตรีของสุนทราภรณ์หวานซึ้งปนเศร้าบอกไม่ถูก น่าแปลกที่ทั้งชายหญิงที่กำลังร้องเพลงคู่กัน กับผู้คนในห้องนั้นล้วนแต่หนุ่มๆ สาวๆ แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยผิดตาเหมือนแฟชั่นย้อนยุค...อา กาศเยือกเย็นยิ่งกว่า ห้องเราที่เพิ่งออกไปเสียด้วยซ้ำ

วันเพ็ญจูงแขนป้าออกเดินต่อ พูดปนหัวเราะว่าขนาดเราสองคนไม่ได้ดื่มเบียร์กับเขาย ังป้ำๆ เป๋อๆ คล้าย อัลไซเมอร์กำลังจะมาเยี่ยมงั้นแหละ ถ้าเผลอตัวซดเบียร์มีหวังหัวทิ่ม ป้าก็พลอยหัวเราะขันตัวเองไปด้วย...จนกระทั่งมองเห็น ประตูกระจกใหญ่ด้าน หน้าที่คนวิ่งหลบฝนเข้ามา...

อ้าว? แล้วเราเดินผ่านห้องชมรมคนรักเพลงมาได้ยังไงกันเนี่ย ?

วูบ นั้นเอง ป้าขนลุกซ่าไปทั้งตัว...ก็ห้องเดียวกับที่เราโผล่เข้ าไปเมื่อตะกี้เองแหละ! รีบฉุดแขนเพื่อนให้ย้อนกลับไปอีกครั้ง...ผลักประตูห้ องด้านขวาเข้าไปก็ถอนใจ เฮือกใหญ่...เรามาถูกห้องจนได้

แต่ห้องที่เราผลักไปเจอหนุ่มสาวในอดีตเมื่อราว 50 ปีก่อนทั้งห้อง กับคนร้องเพลงกรุงเทพฯราตรีแสนเศร้าและเยือกเย็นก็ห้ องนี้แท้ๆ นี่นา

วัน เพ็ญกับป้ามองหน้ากัน...หน้าตาคงซีดเซียวทั้งคู่เมื่ อนึกขึ้นได้ว่า...เรา เพิ่งพลัดเข้าไปในแดนสนธยาหยกๆ ย้อนยุคไปราวกึ่งศตวรรษ...เล่นเอาขนหัวลุกเลยค่ะ!

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ คืนหนึ่งที่เกาะคา

เรื่องเล่าผี ๆ คืนหนึ่งที่เกาะคา


"เก๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลำปาง

ดิฉัน เป็นคนแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่ได้ชื่อว่าเหนือสุดในสยาม ครอบครัวเราเดิมอยู่เกาะคา จังหวัดลำปาง แต่พ่อแม่ย้ายมาอยู่แม่สายเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ดิฉันกับน้องชายก็เกิดและเติบโตที่แม่สายนี่เอง

พ่อแม่มักมีธุรกิจที่เชียงใหม่บ่อยๆ บางทีก็ไปเยี่ยมญาติที่เกาะคา มักมีพระเครื่ององค์เล็กๆ จากวัดพระธาตุลำปางหลวงมาฝากเราเป็นประจำ

แม่เล่าว่าจังหวัดลำปางเป็นเมืองเก่าแก่มากที่สุด คือมีอายุยาวนานถึง 1,300 ปี เดิมมีชื่อว่า เขลางค์นคร ส่วนชื่อสามัญก็คือ "ละกอน" หรือ "ละคร" มีชื่อเป็นทางการว่า "นครลำปาง" ต่อมาจึงได้กลายมาเป็นจังหวัดลำปางทุกวันนี้

ที่ดิฉันจดจำได้ขึ้นใจเพราะเป็นถิ่นเดิมของพวกเรา ดิฉันและน้องชายมาโดนผีหลอกแทบตายที่ลำปางนี่เองค่ะ!

เรื่อง ของเรื่องก็คือญาติผู้ใหญ่ของเราเสียชีวิตด้วยโรคชรา แม่เรียกติดปากว่าอุ๊ยศรีหรือยายศรี พวกเรายกครอบครัวไปทั้งหมด โดยมีญาติห่างๆ ที่ไว้ใจได้เป็นคนเฝ้าบ้าน..พ่อขับรถไปถึงเกาะคาราวสองทุ่มเศษ..บ้านที่เรา ไปพักเป็นบ้านยายศรีค่ะ มีลูกชายที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นเอง

ญาติพี่น้องมากหน้าหลายตาจนจดจำไม่ไหว บ้านช่องล้วนอยู่ติดๆ กัน พอเห็นพวกเราก็ดีใจ ลูบหลังลูบไหล่ พูดจาชมเชยต่างๆ นานา ตอนนั้นดิฉันอายุราว 12-13 ปี ส่วนน้องชายอายุน้อยกว่า 2 ปี

ศพยายศรีตั้งอยู่ที่วัดตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว พ่อแม่บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเผา เราจะได้พบญาติคนอื่นๆ ด้วย ถ้าไม่มีอะไรก็คิดว่าเผาเสร็จจะกลับแม่สายเลย

เหตุสยองเกิดขึ้นในคืนนั้นเอง!

บ้านยายศรีเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ชั้นบนมีสองห้องนอน ส่วนชั้นล่างราดปูน มีโต๊ะใหญ่อยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ ..ด้านหน้ามีเตียงไม้เตี้ยๆ คล้ายกับบ้านในชนบททั่วไป สำหรับนั่งเล่น เอนหลังรับลม กินอาหาร รวมทั้งรับแขกก็ได้ค่ะ

ญาติๆ ทยอยกันกลับไป นัดหมายว่าจะได้พบกันวันรุ่งขึ้นที่วัดในตอนทำบุญเลี้ยงพระเพล..หลังจากนั้น ก็อาบน้ำอาบท่าแล้วก็ขึ้นนอนในห้องใหญ่ของยายศรีนั่นเอง

พ่อแม่นอนบนเตียง ส่วนดิฉันกับน้องนอนบนเสื่อข้างเตียง ไม่ช้าก็หลับผล็อยไป

ตกดึก ดิฉันตื่นมาในความเงียบสงัด ได้ยินเสียงยอดไม้คร่ำครวญกับสายลมน่าวังเวงใจ ดูเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำค้างหยดลงบนหลังคาสังกะสีด้วย..มองออกไปนอก หน้าต่างก็เห็นแสงจันทร์ขาวนวล เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นใจยังไงบอกไม่ถูกค่ะ

"พี่..พี่เก๋..ตื่นเถอะ.." เสียงน้องชายนั่นเองที่ปลุกดิฉันขึ้นมา พอหันมองแกก็บอกเสียงอ่อยๆ "โก้ปวดท้องฉี่"

ถอนใจเฮือก จำเป็นต้องพาน้องลงไปชั้นล่าง..ข้างนอกแสง จันทร์อาบต้นลำไยที่ออกดอกสะพรั่ง เสียงหมาหอนมาจากที่ไกลๆ รับกันเป็นทอดๆ เหมือนพวกมันกำลังเยือกเย็นหัวใจเต็มประดา

ดิฉันเปิดไฟให้ น้องชายเข้าห้องน้ำไปแล้ว ส่วนดิฉันยืนรอ หมุนไปหมุนมา..นึกอยู่ว่าถ้าน้องชายออกมาก็จะเข้าไปทำธุระบ้าง จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นมาก่อนสว่าง

ขณะนั้นเองที่ดิฉันหันไปเห็นหญิงชราคนนั้นเขาพอดี!

วินาที แรกที่เห็นร่างนั้นนั่งอยู่บนเตียงเตี้ยๆ ดิฉันรู้สึกเย็นวูบที่ต้นคอ แล่นวาบไปตามไขสันหลัง ม่านตาพร่าพราย หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ทั้งๆ คุณยายร่างท้วมผิวขาวก็ดูเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ

ผมสีเทารวบตึงไปเกล้ามวยที่ท้ายทอย ใบหน้ากว้าง แก้มย้อย ปากบางๆ เผยอยิ้มอย่างใจดี สวมเสื้อสีเทาดำแบะอก เห็นเสื้อตัวในสีขาว กำลังนั่งยองๆ เคี้ยวอะไรช้าๆ คิดว่าคงจะเป็นใบเมี่ยงที่พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยทางภาคเหนือนิยมกันนั่นเอง

ประตูเปิดกว้าง น้องชายโผล่ออกมารูดซิปกางเกง หันไปเห็นคุณยายแปลกหน้าคนนั้นก็ถามว่า ใครน่ะพี่เก๋? ดิฉันพูดอะไรไม่ออก นอกจากส่ายหน้า กลืนน้ำลาย..ผู้คนที่ไหนจะมานั่งเคี้ยวเมี่ยงตอนดึกดื่นค่อนคืนล่ะคะ?

"ไหว้อุ๊ยซะโก้" ดิฉันบอกเสียงสั่นๆ แล้วยกมือไหว้คุณยายผู้นั้นพร้อมกัน ก่อนจะฉุดมือน้องชายเดินอ้าวขึ้นบันได ไม่กล้าเหลียวหลังไปมองอีกเลย..ห้องน้ำน่ะลืมไปเลยค่ะ

วันรุ่งขึ้นจึงได้มองเห็นภาพถ่ายคุณยายผู้นั้นที่ข้างฝา..คงไม่ต้องบอกนะคะว่าเป็นอุ๊ยศรีที่เรามางานศพท่านนั่นเองค่ะ!

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ กลับบ้านเรา

เรื่องเล่าผี ๆ กลับบ้านเรา 


คอลัมน์ ขนหัวลุก ใบหนาด


"เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณกลับบ้าน

ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ

เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ

หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!

เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู

ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี

บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...

จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย

นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย

จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่

"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?

เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน

ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป

ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...

ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า

ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!

เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย

ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว

หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา

คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้

เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา

คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล

ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!

credit : khaosod

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ หลอนสุดขีด

เรื่องเล่าผี ๆ หลอนสุดขีด



เรื่องเล่าประสบการณ์ หลอนสุดขีด "ปวัตน์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนักร้องคาเฟ่

ในยุคที่คาเฟ่กำลังฮิต ผมกับเพื่อนๆ กลายเป็นลูกค้าตัวยงไปเลยครับ เที่ยวคาเฟ่จนติดงอมแงมเหมือนโดนมนต์สะกด คืนไหนไม่ได้ไปดูนักร้องสาวสวยกระโดดโลดเต้นบนเวทีอวดขาอ่อนขาวๆ ก็หงุดหงิดจนนอนเกือบไม่หลับแน่ะ

ว่าแต่นักร้องสาวๆ นี่มีเสน่ห์เรียกแขกตรงไหนล่ะ?

โธ่เอ๊ย! ถึงไม่บอกก็คงรู้หรอกน่า นอกจากสวยเซ็กซี่ที่ดึงดูดใจเสี่ยหนุ่มกับป๋าแก่แล้ว ลีลาบนเวทีของคุณเธอยังมีเสน่ห์เหลือกินเหลือการละครับ

ในที่สุดผมก็มาติดแหง็กอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆ บ้านแถวสะพานควายนี่เอง!

ที่นั่นมีวงดนตรีคึกคักกว่าคาเฟ่แห่งอื่นๆ ในย่านนั้น ซึ่งมีแต่อีเลคโทนตัวเดียว...นักร้องสาวสวยอื้อซ่าบรรยากาศดีมีระดับ ถึงราคาจะสูงกว่าที่อื่นนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะเที่ยวแล้วสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าตอนดึกๆ จะมีรายการแก้วบิน ขวดบินห้ามหัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

สรุปว่าผมได้แฟนนักร้องชื่อแพร เช่าห้องอยู่หน้าคาเฟ่นั่นแหละ ต้องยอมรับว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดใจไปสารพัด ไม่ว่าหน้าตาสะสวย เรือนร่างของสาววัย 18 อรชรอ้อนแอ้นสมส่วน โดยเฉพาะกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน ไม่ก๋ากั่นเหมือนนักร้องหลายๆคนที่ผมรู้จัก

ผมไปหาเธอที่ห้องชั้นสองใกล้ๆ บันได หน้าต่างเปิดออกไปสู่ลานจอดรถ มีห้องน้ำเล็กๆ ผิดกว่าห้องเช่าส่วนมากในย่านนั้นที่ใช้ห้องน้ำรวม

เท่าที่ดูจากตู้เตียง โต๊ะเก้าอี้และชั้นวางของที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสารพัดอย่าง พอจะเดาได้ว่าแพรมาเช่าห้องอยู่ที่นั่นเกือบปีมาแล้ว ผมไปมาหาสู่เธอราวสามเดือน แพรเล่าว่าเป็นสาวจากภาคอีสานตอนบน เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นนักร้องคาเฟ่ไปเยี่ยมบ้าน แล้วชวนมาเที่ยวกรุงเทพฯ และนั่นเป็นการเริ่มต้นอาชีพนักร้องตั้งแต่นั้นมา

บางคืนก็ชวนเพื่อนไปเที่ยว แต่ส่วนมากผมมักจะไปคนเดียว ติดมาลัยน้ำใจให้เธอครั้งละห้าร้อยบาท...รวมแล้วไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4-5 พันบาท

วันไหนว่างตอนกลางวันก็แวะไปหา...เดินผ่านเคาน์เตอร์ชั้นล่าง ขึ้นบันไดไปเคาะประตูเรียกบ้าง ไขกุญแจเข้าไปเลยบ้าง...เรามีความสุขด้วยกันทุกครั้งจนกว่าจะถึงตอนค่ำที่แพรจะต้องแต่งตัวไปร้องเพลง บางคืนผมก็ตามไปเที่ยวที่นั่น แต่บางคืนก็กลับบ้านเลย

จนกระทั่งถึงวันที่เกิดเหตุน่าขนหัวลุก!

ผมไปถึงห้องแพรราวบ่ายสอง เคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบเลยไขกุญแจเข้าไป...เธอกำลังอาบน้ำเสียงซู่ซ่าอยู่พอดี ร้องออกมาว่า...รอเดี๋ยวนะคะ

เอนร่างบนเตียงมองไปที่หน้าต่างที่มีม่านบางๆ ลายสวยปิดสนิท เปิดเทปฟังเพลงจนเริ่มง่วง แพรก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา มีผ้าเช็ดตัวลายดอกไม้กระโจมอกมาผืนเดียว เธอเดินไปเช็ดเนื้อตัวที่หน้ากระจกก่อนจะชายมามองยิ้มๆ แบบยั่วเย้า พอผมกางแขนแพรก็หัวเราะระริกก่อนจะโผเข้ามาหาอ้อมแขนของผมฉับพลัน...

หลับผล็อยไปถึงเย็น แพรไม่ได้อยู่ในห้องเสียแล้ว...เธอคงจะแต่งตัวออกไปร้านทำผมแล้วเข้าคาเฟ่...ผมตัดสินใจไม่แวะไปหาเธอแต่ขับรถกลับบ้านเลย

อีกราว 3-4 วันต่อมาผมโทร.ไปหาพนักงานบอกว่าไม่เห็นแพรมาหลายวันแล้ว! เป็นไปไม่ได้ แพรไม่เคยกลับบ้านโดยไม่บอกกล่าวนี่นา ผมเลยตัดสินใจบึ่งรถไปหาเธอที่ห้องพัก...แต่แพรไม่อยู่จริงๆ แฮะ ข้าวของต่างๆยังอยู่ครบจนน่าแปลกใจ

ออกไปดื่มเบียร์รอจนถึงเย็นแล้วย้อนไปที่คาเฟ่ ถามพนักงานก็บอกว่าแพรไม่ได้มาที่คาเฟ่ตั้งเกือบอาทิตย์แล้ว...เอ๊ะ!ยังไง? นักร้องทยอยกันมาถึงก็ให้คำตอบตรงกัน

ผมมึนงงจนคิดอะไรไม่ออก จะว่าแพรกลับบ้านก็ไม่ได้ลากัปตัน... เธอไปไหนแน่

ย้อนขึ้นไปที่ห้องเธออีกครั้ง...สรรพสิ่งดูเงียบเชียบเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟ ผมมองดูภาพถ่ายของแพรที่มองตอบมาเศร้าๆ แล้วใจหาย

คุณพระช่วย! ช่างเหมือนกับจ้องมองนัยน์ตาของภาพถ่ายที่เจ้าตัวตายจากไปแล้ว!

ผมเซซังออกจากที่นั่นด้วยความสับสนมึนงง บ้านเธอที่ต่างจังหวัดผมก็ไม่รู้จัก...ย้อนกลับไปที่คาเฟ่นั้นอีกครั้ง เรียกเพื่อนๆของเธอมานั่งคุยด้วย แต่ไม่มีใครได้ข่าวแพรแม้แต่คนเดียว...ยกเว้นนักร้องชื่ออ๋อยย่นคิ้วอย่างครุ่นคิด

"เอ...อ๋อยเคยเห็นแพรยืนมองมาจากหน้าต่างเมื่อคืนนี้เอง...พอจะถามว่าไปไหนมาก็หายไปแล้ว เมื่อ 2-3 คืนก่อนก็เห็นแพรมาเดินอยู่หน้าคาเฟ่นี่เอง แต่พอเปิดประตูไปหาก็ไม่ยักเห็นแฮะ"

แพรหายสาบสูญตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้ เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ผมนึกถึงวันสุดท้ายที่แพรออกจากห้องน้ำมาหาผมเป็นครั้งสุดท้าย ชักไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแพรที่มีชีวิตหรือเปล่า? นึกแล้วขนหัวลุกครับ!


คอลัมน์ ขนหัวลุก โดยใบหนาด

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ โรงเรียนผีดุ

เรื่องเล่าผี ๆ โรงเรียนผีดุ


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน !! นัก เรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ ผีเด็กในโรงแรม

เรื่องเล่าผี ๆ ผีเด็กในโรงแรม


เรื่องนี้ผ่านมาประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน 7 คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน

จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง

น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ

แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บนไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที

เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์งานกันในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที

สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว

คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตำนานผีไทย แม่นาคพระโขนง


ตำนานผีไทย แม่นาคพระโขนง


ตำนานผีไทยเรื่องเล่ามีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ด้วยกันที่ย่านพระโขนง สามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาค ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนนางนาคตั้งครรภ์อ่อน ๆ นายมากก็มีหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการที่บางกอก นางนาคจึงต้องอยู่ตามลำพัง
เวลาผ่านไป ท้องของนางนาคก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ ทว่าลูกของนางนาคไม่ยอมกลับหัว และคลอดออกมาตามธรรมชาติ ยังผลให้นางนาคเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก และในที่สุดนางนาคก็ทานความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง กลายเป็นผีตายทั้งกลม

หลังจากนั้น ศพของนางนาคได้ถูกนำไปฝังไว้ยังป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการก็กลับจากบางกอกมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบความว่าเมียของตัวได้หาชีวิตไม่แล้ว นายมากกลับมาถึงในเวลาเข้าไต้เข้าไฟพอดี จึงไม่ได้พบชาวบ้านเลย เนื่องจากบริเวณบ้านของนางนาค หลังจากที่นางนาคตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวผีนางนาคซึ่งต่างก็เชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก

ครั้นเมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน นางนาคก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว จนวันหนึ่งขณะที่นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนาคทำสากตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บสากที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน

นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาค โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่วแล้วเอาดินอุดไว้ ตกกลางคืนทำทีเป็นไปปลดทุกข์เบา แล้วแกะดินที่อุดตุ่มไว้ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา จากนั้นจึงแอบหนีไป นางนาคเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอก จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนาคไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนาคไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนาคออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาค ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนาคก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่


จนกระทั่งตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ เก็บหม้อที่ถ่วงนางนาคได้ขณะทอดแหจับปลา นางนาคจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนาคถูกเคาะออกมาทำปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัดโบราณ) เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนาคสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่นๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาค นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้ แม่นาคพระโขนง

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คืนเปลี่ยว ป่าช้าร้าง ประสบการณ์จริงจากตนเอง


คืนเปลี่ยว ป่าช้าร้าง ประสบการณ์จริงจากตนเอง

บ้านดิฉันอยู่ในซอยเสนาฯ ถึงวังหินแล้วเลี้ยวขวาไปถึงก่อนแยกเสือใหญ่ พ่อแม่อยู่ที่นั่นมา 20 กว่าปีแล้ว เมื่อเด็กๆ เคยพาดิฉันกับพี่ชายไปเที่ยวแดนเนรมิตบ่อยๆ เพราะอยู่ใกล้บ้านมาก เด็กๆ มักชอบถ้ำผีสิงกันค่ะ ไม่เคยนึกเลยว่าจะมาเจอของจริงตอนโต
เมื่อเดือนก่อน พวกเพื่อนๆ ร่วมงานในมหาวิทยาลัยเอกชน ชวนไปเที่ยวพัทยาเพราะมีวันหยุดยาว พอดีกับพ่อแม่ก็ชวนไปเที่ยวภาคเหนือกับเพื่อนๆ แต่ดิฉันปฏิเสธหมด อยากพักผ่อนร่างกายและจิตใจอยู่กับบ้านมากกว่า

คืนแรกนั่นเอง ขณะนอนดูทีวีบนโซฟาสบายๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดิฉันอยู่บ้านนี้มาแต่เกิดก็จริง แต่ยังไม่เคยนอนคนเดียวในบ้านสักคืน!

คืนนี้เป็นคืนแรกในชีวิต!!

จู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับวูบลง มืดสนิท ดิฉันร้องอุทานอย่างลืมตัว นึกถึงฝนฟ้าที่ดังคะนองมาแต่ตอนเย็น แต่ไม่ทันเฉลียวใจ พยายามนึกถึงเทียนไขกับไม้ขีดที่คุณแม่เตรียมไว้ว่ามันอยู่ที่ลิ้นชักตู้เก็บของ หรือจะอยู่ข้างเครื่องเล่นดีวีดี ใต้โต๊ะวางทีวี?

ทันใดนั้น แสงไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นตามเดิม! ถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนั้นไม่กลัวอะไรเลยค่ะ ก็อยู่มานานเต็มที บ้านเรือนติดๆ กันทั้งนั้น ประตูรั้วก็แข็งแรง ประตูบ้านแน่นหนา หน้าต่างมีเหล็กดัดทุกบาน หัวขโมยอย่าหวังจะไขด้านนอกเข้าบ้านเราได้สะดวกๆ ถ้าเกิดไฟไหม้แต่คนสติดีๆ ก็สามารถเปิดออกไปได้

เสียงหน้าต่างกระแทกปังๆ เล่นเอาสะดุ้งเฮือก ครั้นหันมองก็เห็นเปิดกว้างเป็นปกติ แต่มีเสียงเดิมดังขึ้นอีก ...คราวนี้แน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นดังมาจากชั้นบนที่ไม่มีใครอยู่!

เอ๊ะ! ชักยังไง? เงยหน้าขึ้นมอง...แสงสว่างก็ยังมี แต่คราวนี้ทีวีดังลั่นจนเผ่นพรวดขึ้นนั่ง มองหารีโมตก็วางอยู่ใกล้ๆ เราอาจโดนปุ่มวอลุ่มโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

กำลังจะเอนลงนอนให้สบายๆ ดูหนังจากเคเบิล... อ้าว? เสียงทีวีกลับเบาวูบลงเฉยๆ แทบไม่ได้ยิน...แต่นั่นกลับทำให้เสียงอย่างอื่นดังชัดเจนยิ่งขึ้นจนใจหายวาบ...นั่นคือเสียงประตูปิดเปิด ไม่ถึงกับรุนแรงนัก แต่ก็ดังมาเข้าหูชัดเจน

เสียงคนเดิน...เอาละซี!!

นอกจากเสียงลมครวญครางอยู่ภายนอกแล้ว สรรพสิ่งเงียบกริบจนน่าใจหาย รถราก็แทบจะไม่ดังแว่วมาเลย แต่เสียงคนเดินจนกระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังอยู่ข้างบนแน่ๆ จนต้องแหงนหน้ามองตามไป...ทางโน้นทีทางนี้ที

นั่นที่ห้องพ่อแม่ นั่นห้องเราเอง! ตอนนี้ออกมาหน้าห้องแล้ว กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ตรงมาทางบันได ราวกับจะลงมาหาเรา...

หัวใจเต้นโครมๆ ราวกับมีกลองรัว อ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงจ้องมองที่บันได...แต่ก็ไม่มีเสียงบันไดลั่น นอกจากเสียงถอนใจยืดยาว...หรือว่าจะเป็นลมพัดเข้ามา แต่เราอุปาทาน หวาดกลัวไปเองเพราะเป็นคืนแรกที่นอนอยู่บ้านเพียงคนเดียว

แล้วบ้านนี้มีอะไรล่ะ? ตั้งแต่ปลูกมายังไม่มีใครตายซักคนนี่นา! หรือว่า...

ดิฉันขนลุกเกรียวทั้งตัวเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชาวบ้านลือกันว่า บริเวณนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า...ป่าช้าแขกที่ผีดุมาก มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกหลายๆ อย่างเช่น คนโดนผีหลอกจนจับไข้หัวโกร๋นมาแล้ว บางคนล้มเจ็บปางตายก็มี

ต่อมา บ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ร้านค้าและรถเข็นแผงลอยผุดสะพรั่ง เรื่องผีจึงค่อยซาไป แต่น่าสังเกตว่าร้านขายอาหารขนาดใหญ่จะขาดทุนย่อยยับ เชื่อกันว่าปลูกทับกลางป่าช้าพอดี อย่างที่เราถือกันว่าห้ามปลูกเรือนคร่อมตอนั่นแหละค่ะ

ราวสิบปีก่อนมีร้านสุกี้ใหญ่โตมาตั้งที่นั่น ไม่นานก็ต้องปิดเพราะขาดลูกค้า เจ้าของเดิมให้เช่าทำร้านเนื้อย่างเกาหลี รายนี้อยู่ได้ปีเศษก็ยอมแพ้ ต้องเลิกกิจการไปจนได้

ทำไมที่บ้านดิฉันไม่เคยพบเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ มาก่อนเลยก็สุดรู้ค่ะ

ตอนที่นั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่คนเดียว ดิฉันแทบร้องไห้ นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือพ่อแม่จะได้ไม่ต้องมานั่งขวัญหนีดีฝ่อคนเดียวแบบนี้

ในที่สุด ตัดสินใจสวดมนต์ไหว้พระ ไม่กล้าขึ้นไปนอนชั้นบน โดยอาศัยหลบภัยอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีนี่แหละ มีอะไรจวนตัวจะได้เผ่นออกจากบ้านทันทีเลย

รุ่งเช้าแข็งใจขึ้นไปสำรวจชั้นบนก็พบว่าทุกอย่างปกติ ไม่มีร่องรอยว่าจะมีโจรผู้ร้ายขึ้นบ้าน...แต่ดิฉันเก็บเสื้อผ้าใส่กุญแจบ้านและรั้ว รีบบึ่งไปอาศัยบ้านเพื่อนนอนก่อนพ่อแม่จะกลับบ้าน...ไม่อยากหัวใจวายตายค่ะ

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บาปจากการทำแท้ง! วิธีแก้เคล็ดหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำแท้งมา

บาปจากการทำแท้ง! วิธีแก้เคล็ดหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำแท้งมา


สำหรับคนที่มีอุปสรรคและปัญหาต่างๆในด้านการตั้งครรภ์ คือท้องแล้วไม่สามารถจะเลี้ยงบุตรได้จึงต้องไปทำแท้งตามที่ต่างๆนั้น ทางศาสนาถือว่าเป็นบาปอย่างมาก เพราะการฆ่าคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะยังไม่เกิดออกมาจากท้องก็ถือว่าเป็นบาปทั้งสิ้น มีความเชื่อกันว่าผู้ที่ทำแท้งนั้นชีวิตจะมีแต่ความย่ำแย่ มีแต่เรื่องทุกข์ร้อนและลำบากไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตไม่อาจก้าวหน้าได้ เหมือนมีอะไรมาถ่วงอยู่และจะเป็นเช่นนั้นไปอีกหลายปี
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายที่ให้ไปทำแท้งหรือผู้หญิงการที่คุณทำร้ายชีวิตเล็กๆที่กำลังจะเกิดออกมาดูโลก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็เป็นบาปทั้งสิ้น ขอให้ทำบุญสะเดาะเคาะห์ อุทิศส่วนกุศลเชื่อกันว่าชีวิตจะดีขึ้นได้
วิธีแก้เคล็ดหากคุณได้ทำแท้งมาแล้ว

ปล่อยปลาลงสระขนาดใหญ่ โดยอาจจะหาปลาจากตลาดนัด ปลาที่กำลังจะถูกฆ่าตาย และเน้นว่าต้องปล่อยลงสระขนาดใหญ่เท่านั้นไม่ใช่ปล่อยลงคลองเล็กๆ หรือสระแคบๆ
การปล่อยโดยปล่อยตามอายุ ดูจากอายุตัวเองหากอายุ 28 ก็ให้ปล่อย 28 ตัวเป็นต้น
ต้องนับจำนวนปลาแยกกับอีกฝ่ายหนี่ง เช่น ถ้าภรรยาอายุ 25 ปี สามีอายุ 30 ปี ก็แสดงว่าทั้งคู่จะต้องปล่อยปลาทั้งสิ้น 55 ตัว คือฝ่ายตัวหญิงปล่อยปลา 25 ตัว และฝ่ายชายปล่อยให้ครบ 30 ตัว
การทำบุญในลักษณะนี้ไม่มีวันกำหนดของวัน
คนเฒ่าคนแก่ได้แนะแนวการทำบุญเช่นนี้ไว้ และได้เสริมว่า นอกจากการทำบุญปล่อยปลาให้ครบตามอายุแล้ว ยังจะต้องทำสังฆทานทุก 1 เดือน หรือทุก 3 เดือนให้ครบ 7 ครั้ง จึงจะหมดเคราะห์และรุ่งเรืองสืบไป


และยังมีหนังสืออีกเล่มที่สอนการแก้กรรมจากการทำแท้งไว้ดังนี้

ไม่ว่าจะเป็นการทำแท้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม

ก่อนอื่นต้องทำการขอขมากรรม โดยให้เราจุดธูป 3 ดอก โดยให้ตั้งกลางแจ้ง ตั้งนะโม 3 จบ พร้อมเอ่ยตามนี้ ข้าพเจ้าชื่อ.......ขอขมากรรมวิญญาณลูก พ่อและแม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ขอ
อโหสิกรรมให้ขาดจากกัน จะทำบุญใส่บาตรด้วยพระสะดุ้งมาร 3 นิ้ว พร้อมอาหาร ทำใส่บาตรตอนเช้า แล้วกรวดน้ำขณะที่พระให้พร ตั้งนะโม 3 จบ กุศลผลบุญที่ทำบุญใส่บาตรพร้อมกับพระสะดุ้งมาร ขอให้เจ้ากรรมนายเวร คือวิญญาณลูกรับแล้ว ขอให้ไปเกิดบนศาลา ขอให้อโหสิกรรมให้ขาดจากกันเดี๋ยวนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสำเร็จ โชคลาภ ทำสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จ ผู้ที่ทำแท้งลูกจะโดยธรรมชาติหรือไม่ แม้กระทั่งหมอพยาบาล ผู้ร่วมมือให้เงิน พาไปเป็นธุระเห็นดีด้วย จะเป็นตราบาปมาก วิญญาณเด็กจะอาฆาต เพราะดวงวิญญาณไม่สามารถกลับโลกเดิมได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสภาพมีแต่นาม (วิญญาณ) ไม่มีรูป ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงกลับศูนย์ดุลยกรรม เพราะการเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ต้องการมาสร้างบารมีใช้กรรม ผู้กระทำจะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ็บปวด แตกร้าว ทุกข์ ผิดหวัง ลาภก็ถูกปิดกั้น แก้กรรมเสร็จแล้วต้องหมั่นทำความดี กตัญญูต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณ จากกรรมหนักจะกลายเป็นเบา ถ้ากรรมเบาก็จะหายไป


จากการเผยแพร่บทความธรรมะนี้ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร คือวิญญาณลูกๆ ของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศลนี้ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดาครูอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย มีส่วนได้ในกุศลผลบุญของฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลผลบุญนี้เทอญ

พิมพ์และเผยแพร์โดย นางสาวชุติมา แก้วจันทร์

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ ผีในคุก

เรื่องเล่าผี ๆ ผีในคุก



เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน !! นัก เรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

yengo หรือ buzzcity

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ หญิงชรากับบ้านที่ปิดตาย

เรื่องเล่าผี ๆ หญิงชรากับบ้านที่ปิดตาย



ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควันธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ในใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า"จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือดเต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมีความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่างมีความสุด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม

yengo หรือ buzzcity

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญานทหารพม่าขอส่วนบุญ

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญานทหารพม่าขอส่วนบุญ



เป็นประสบการณ์ของพระรูปหนึ่งที่ท่านพาญาติโยมไปทำบุญเมื่อประมาณ พ.ศ. 2550 เพื่อ อุทิศส่วนกุศลให้แด่สรรพวิญญาณคนไทย ที่สถิตย์อยู่ ณ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร(เขตอรัญญิก)และบริเวณใกล้เคียง

จุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มบุญกุศลและส่งวิญญาณเหล่านี้ให้ไปผุดไปเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป
ซึ่งวิญญาณคนไทยเหล่านี้ บ้างก็เป็นทหารเก่า บ้างเป็นชาวบ้าน บ้างเป็นชาววัง บ้างเป็นชาววัดผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งชาวไทยเหล่านี้ เวลาว่างจากทำไร่ทำนาก็มาปฏิบัติธรรม ณ บริเวณวัดเหล่านี้

วิญญาณเกือบทั้งหมดที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากสงครามในตอนเสียกรุงครั้งที่ ๒ เพราะถูกศาตราวุธของผู้รุกรานปลิดชีพ

ดังนั้น แม้ว่าหลายวิญญาณจะเคยเป็นมนุษย์ที่ดี แต่ในขณะที่เสียชีวิต ตายโหง จึงไปสุ่คติโลกสวรรค์ไม่ได้ วิญญาณจึงติดอยู่ในบริเวณนี้ รอพบญาติในอดีตชาติมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

ก่อนเดินทางไปทำบุญประมาณ 1 อาทิตย์ ระหว่างเวลา 10.00น. ท่านได้นั่งรับแขกที่พระอุโบสถวัดอินทาราม เพื่อรับสิ่งของและจตุปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคอาทิ พระพุทธรูป ผ้าไตร สังฆทาน และธงธรรมจักร เป็นต้น เพื่อนำไปทำบุญตามวันที่กำหนดไว้

หลังจากญาติโยมชุดแรกกราบลากลับไป ท่านผล็อยหลับไป แล้วฝันทันที ในความฝันนั้นชัดเจนมาก จนรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเรื่องจริง

ในความฝัน ท่านได้นั่ง ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สักพักมีคนจำนวนหลายพันนายเข้ามากราบ สังเกตการแต่งตัวก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทย
เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่าหัวหน้าคณะเป็นทหารพม่าโบราณ ส่วนลูกน้อง แต่ละคนมีใบหน้าซูบซีดเหมือนวิญญานผีดิบ แต่งตัวซอมซ่อ เหมือนคนมีทุกข์ เมื่อพวกเขากราบเสร็จแล้ว
ทหารพม่า : “ท่านครับ ได้ข่าวว่าวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคมนี้ คณะของพวกท่านจะไปทำบุญที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรใช่ไหมครับ”

พระ : “ใช่ จะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่วิญญาณชาวไทยให้ไปผุดไปเกิด”
ทหารพม่า : “ท่านครับ ช่วยบอกลูกศิษย์ท่านให้อุทิศส่วนกุศลให้พวกผมด้วยครับ”
พระ : “พวกโยมเป็นใคร มีความเกี่ยวพันอะไรกับสถานที่ตรงนั้น”
ทหารพม่า : “ผมเป็นทหารพม่าที่มารบและเสียชีวิต ณ บริเวณนั้นครับ”

yengo หรือ buzzcity

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ คนขับแท๊กซี่โดนผีหลอก

เรื่องเล่าผี ๆ คนขับแท๊กซี่โดนผีหลอก


ถ้าพูดถึงเรื่องผีดุๆ มีอยู่ที่นึง เอ่ยชื่อหลายคนคงรู้จัก นั่นคือแถวเดอะมอลล์งามวงวาน แถวนั้นตึกที่พักสูงๆเยอะ คนกระโดดตึกฆ่าตัวตายบ่อย
กลางดึกมีคนเจอดีหลายคนแล้ว โดยเฉพาะคนขับคนขับแท๊กซี่โดนบ่อย ตอนดึกๆมักมีผู้หญิงสาวมาเรียกรถแท๊กซี่คนขับแท๊กซี่

ส่วนใหญ่จะบอกให้ไปส่งแถววัดโน่นวัดนี่ แต่พอขับไปสักพักปรากฏว่า ไม่มีผู้โดยสารสาวอยู่ในรถแท๊กซี่เลย จนเดี๋ยวนี้ไม่มีรถแท๊กซี่
คนขับแท๊กซี่คันไหนกล้ารับผู้หญิงที่เรียกรถแท๊กซี่ตอนดึกแถวเดอะมอลล์งามวงวานเลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มันต้องมีคนที่ไม่กลัวมั่งล่ะ

นั่นคือ ลุงคนนึงแกเพิ่งมาขับคนขับแท๊กซี่ใหม่ๆ แกชื่อลุงกล้า ก็กล้าสมชื่อครับ คืนนั้นเวลาประมาณตีสองเห็นจะได้
แกขับรถแท๊กซี่ผ่านหน้าเดอะมอลล์งามฯ แกก็นึกถึงเรื่องผีผู้หญิงที่มักเรียกรถแท๊กซี่คนขับแท๊กซี่ตอนดึก แต่ลุงกล้าแกไม่กลัวครับ
แกเลยขับช้าๆมองหาว่าจะมีจริงตามที่เขาเล่าหรือปล่าว แล้วแกก็เจอจริงๆครับแกเห็นผู้หญิงคนนึงโบกมือเรียกรถแท๊กซี่
ลุงกล้าก็เลยจอดรับลองดูว่าจะผีหรือคน ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดสีดำหน้าตาดีทีเดียวครับ บอกลุงกล้าให้ไปส่งที่วัดธาตุทอง
(แถวสุขุมวิท พระโขนง) ลุงกล้าแกก็เห็นเค้าเป็นคนนี่ไม่เห็นจะเป็นผีตรงไหนเลย แกก็รับผู้หญิงชุดดำคนนั้นมา

ขับไปแกก็เหลือบมองกระจกส่องหลังตลอด ก็เห็นผู้โดยสารสาวสวยคนนั้นยังนั่งอยู่ ลุงกล้าก็เลยขับมาเรื่อยๆ ขับมาถึงประมาณ
ถนนพระราม 9 ไฟข้างถนนค่อนข้างสว่างลุงกล้าก็มองกระจกส่องหลัง เท่านั้นล่ะครับ ลุงกล้าแกเสียวสันหลังวาบเลย
เพราะหญิงสาวผู้โดยสารไม่อยู่ตรงเบาะหลังแล้วครับ ลุงกล้าที่ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าแล้ว พยายามมองผ่านกระจก

ก็ไม่เห็นแล้วครับ ลุงกล้าก็เลยนึกในใจ โดนแน่แล้ว แกก็เลยจะจอดรถแท๊กซี่เพื่อที่จะได้หายกลัว แต่กลิ่นน้ำหอม
ยังฟุ้งอยู่เต็มรถแท๊กซี่ ลุงกล้าแกก็นึกในใจว่า วิญญาณน่าจะยังอยู่ในรถแท๊กซี่ เราคงมองไม่เห็น คงต้องไปส่งให้ถึงวัดธาตุทอง

ถ้าถึงที่หมายแล้วกลิ่นน้ำหอมคงจะหายไปด้วย คิดได้ ลุงกล้าแกก็เลยเหยียบคันเร่งสุดชีวิต เพิ่อให้ถึงวัดธาตุทองไวๆ
พอใกล้จะถึงวัดอีกประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร ลุงกล้าก็เหลือบไปมองกระจกส่องหล้ง คุณพระช่วย!!! ผีสาวชุดดำกำลังนั่ง

จ้องตาถมึงทึง ลุงกล้าแกเบรกรถแท๊กซี่แทบชนฟุตบาธ พระที่อยู่หน้ารถแท๊กซี่กี่องค์ลุงกล้าแกเอามือรวบมากอดไว้หมดเลย
คาถงคาถากี่บทที่ลุงกล้านึกได้ เอามาสวดหมดเลยครับ บทพาหุงที่ว่าแน่ หรือสุดยอดพระคาถาอย่างชินบันชรลุงกล้าแก
สวดมั่วไปหมด หันไปมองข้างหลังทั้งๆที่เหงื่อแตกพลั่ก เห็นผีสาวที่ตอนนี้มีแต่รอยเลือดสีแดงเลอะเต็มหน้า

ยังทำตาถมึงทึงใส่แก ลุงกล้าเลยหันกลับมา ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องทำใจดีสู้เสือ ถ้าไม่กลัว ผีก็คงไม่ทำอะไรแน่
ลุงกล้าเลยหันกลับไป แล้วถามทั้งๆที่เสียงสั่นว่า "ขอโทษนะครับคุณ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตายครับ" ผีสาวยิ่งโกรธ

ไปใหญ่แล้วพูดว่า "ตายพ่อตายแม่มึงเหรอ กูก้มลงไปแต่งหน้าแป๊บนึง มึงเหยียบซะหน้ากูเลอะลิปติกหมดเลย

yengo หรือ buzzcity

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญานเฮี้ยนในห้างชื่อดัง

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญานเฮี้ยนในห้างชื่อดัง



ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม

……ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…

หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ๊ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องไห้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ

……………พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทานข้าวอยู่…

หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า เรา ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า

….แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…

เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้างแห่งนี้ ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร …สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรพ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ๊งแล้ว เจ๊งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ

……ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

yengo หรือ buzzcity

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณเฮี้ยน ผีเด็กแมนชั่น

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณเฮี้ยน ผีเด็กแมนชั่น



เรื่องราวสยองขวัญเผชิญวิญญาณที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ที่ดิฉันเจอ มันจะมาในลักษณะคล้ายกับโดนผีอำ แต่มัน น่ากลัวมาก ๆเหมือนจริง เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับดิฉันตอนเช่าแมนขั่นอยู่กับญาติ ๆ แมนชั่นแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 10 กว่า ปีแล้ว บรรยากาศภายใน เงียบ มากจนทำให้เข้ามาเดินแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันนอนหลับกลางวันอยู่บนเตียงนอน ดิฉันก็เห็นเด็กสองคนอายุประมาณ 4 ขวบ วิ่งเล่นกันอย่าง สนุกสนาน เสียงดังมากจนดิฉันรู้สึกหนวกหูอย่างมากเลยลุกขึ้นมาต่อว่าให้เด็กสองคนนั้นเงียบ ๆ หน่อย เด็กสองคนนั้นพอได้ยินดิฉันว่า ก็หยุด และหันมามองดิฉัน เป็น ตาเดียวกัน ท่าทางของเด็กสองคนไม่ค่อยพอใจดิฉันนัก ตอนนั้นความรู้สึกของ ดิฉันมันคล้ายกับครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งจริงครึ่งไม่จริง จะลุกขึ้นก็ไม่มีแรง แล้วเด็กสองคนนั้นก็ฉุดรั้งแขนดิฉันให้ลุกออกมาจากเตียงนอนพร้อมกับพูดกับดิฉันว่า "เตียงของหนู ... เตียงของหนู" แต่ดิฉันก็ไม่สนใจที่จะทำตามที่เด็กสองคนนั้นพูด แล้วเสี้ยววินาทีดิฉันก็ต้องเบิกตาสว่างทันที เพราะเด็กสองคนนั้นส่งเสียงดุดิฉัน พร้อมกับทำท่าทางใบหน้าขึงขังน่ากลัว นัยน์ตาทั้งสองคู่ของเด็ก สองคนนั้น จาก ปกติก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนดวงไฟ แล้วก็แสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นเสียงทุ้มฟังแล้วขนลุกขนพอง แล้วก็พูดขึ้นว่า "ลุกไป ! ลุกไป !"

ตอนนั้นดิฉันกลัวมากแต่ไม่มีเรี่ยวแรงส่งเสียงเรียกใครเลย แต่ดิฉันก็ไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงตะโกนเรียกคนให้มาช่วย เด็ก สองคนนั้นก็แสดงท่าทางหลอกดิฉันอย่างน่ากลัวดิฉันพยายามทั้งดิ้นทั้งร้อง ให้คนช่วย จนในที่สุดเฮือกสุดท้ายดิฉันก็ ตื่น ลุกขึ้น มา นั่งจนได้ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว คิดว่าตัวเองคงจะโดนผีอำธรรมดา ต่อมาดิฉันก็มานอนที่เตียงนี้อีก แล้วก็เจอกับ เด็กสองคนท่าทางของเด็กน่ากลัวขึงขังตั้งแต่แรกเห็น ท่าทางไม่พอใจอย่างมากที่ดิฉันมานอนที่เตียงอีก เด็กสองคนเดินดิ่งเข้ามาหาดิฉันด้วยใบหน้าน่ากลัว ได้แต่แสยะยิ้ม ลูกนัยน์ตา เหลือกถลนจนปลิ้น ออกมานอกเบ้า เท่านั้นยังไม่พอเด็กทั้งสองยังช่วยกันกดทับที่ไหล่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกจนดิฉัน กลัว สุดขีด ส่งเสียงร้องให้คนช่วยจนเหนื่อย อ่อนไม่มีแรง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงดิฉันสักคนแต่ดิฉันก็ไม่ละ ความ พยายามที่จะหลุดพ้นจากมิติลี้ลับที่กำลังเผชิญกับผีเด็กทั้งสองให้ได้ ดิฉันเลยตั้งจิตภาวนา พุทโธ พุทโธ พร้อมกับออกแรงยันตัวเพื่อ ลุกขึ้นนั่งในที่สุดดิฉันก็หลุดออกมา จากอีก มิติหนึ่งจนได้ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่กล้านอนที่เตียงนี้อีก เลย

yengo หรือ buzzcity

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ ผีเด็กเฮี้ยน ขอข้าวกิน

เรื่องเล่าผี ๆ ผีเด็กเฮี้ยน ขอข้าวกิน



น.ส.วัชรี อำมวัฒน์ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 110/4 หมู่ 5 ต.ท้าช้าง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ว่า เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดชวนขนลุก จนทำให้ครอบครัวพากันแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากพบว่ามีรูปคล้ายวิญาณเด็กติดอยู่กับรูปถ่ายของลูกชาย และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นรูปเด็กผู้ชายสวมเสื้อกล้ามสีขาว แต่สิ่งที่ประหลาด ในภาพข้างขวาเด็กผู้ชายพบเป็นเงาของใบหน้าเด็กไว้จุกศีรษะล้าน

น.ส.วัชรี เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า ตนมีลูกชายอยู่ 1 คน อายุ 6 ขวบ และได้มาเช่าตึกอยู่ที่หน้าวิทยาลัยการอาชีพวิเศษชัยชาญติดกับวัดหลวงสุนทราราม ใน ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ชวนน่าใจหาย ในช่วงเวลา 11.00 น. วานนี้ ขณะที่หยิบรูปถ่ายลูกชายในวัย 1 ขวบมาดู พร้อมใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพลูกไว้ 2 รูป จนกระทั่งตกดึก ตนได้เปิดรูปให้สามีและลูกชายดูอีกครั้ง และปรากฏว่ามีรูปเด็กโผล่ ๆ มาข้างลูกชาย พร้อมกันนั้นลูกชายถามตนด้วยว่า รูปเด็กคนนี้เป็นใคร จึงสังเกตอย่างละเอียดพบว่ามีรูปเด็กปรากฏอยู่จริง จากนั้นได้นำภาพลงในคอมพิวเตอร์ และปรากฏว่ามีรูปวิญญาณเด็กหัวจุกติดอยู่จริง จนทำให้สร้างความหวาดผวาให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก

“ก่อนหน้าที่จะมีรูปวิญญาณเด็กผมจุกมาอยู่ในรูปภาพของลูกชาย สามีเคยปลุกให้ตนตื่นเนื่องจากได้ยินเสียงเด็กมาส่งเสียงร้องอยู่ในห้องและขอข้าวกิน จนทำให้ตนและสามีไม่ได้นอนเลยทั้งคืน” น.ส.วัชรี กล่าวทิ้งท้าย


ที่มาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

yengo หรือ buzzcity

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณผีตายโหง ตามมาหลอนถึงห้อง

เรื่องเล่าผี ๆ วิญญาณผีตายโหง ตามมาหลอนถึงห้อง



ดิฉันอยู่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว เสาร์อาทิตย์มักจะมีเพื่อนๆ ที่ทำงานแห่งเดียวกันแวะมาหาเสมอ ส่วนมากเป็นบ่ายวันเสาร์ค่ะ ซื้อของอร่อยๆ มากินกัน เม้าธ์เรื่องจิปาถะกันสนุกสนานตามประสาผู้หญิง

เพื่อนที่ยังโสดก็มักมีปัญหาเรื่องแฟน! ถ้าความรักยังจี๋จ๋า สดชื่นหวานแหวว เธอก็คงไปหาแฟนหรือไปเที่ยวด้วยกันแล้วละ จริงมั้ยคะ?

เพื่อนที่แต่งงานแล้วก็มาปรับทุกข์เรื่องสามี ส่วนมากมักลงเอยกับดิฉันว่า อยู่เป็นโสดอย่างเธอดีกว่า ไม่ต้องเจอะเจอปัญหาน่าปวดหัว...มีผัวผิดคิดจนตัวตาย! เพื่อนๆ เคยแซวว่าสมัยนี้เขามีคติใหม่แล้ว...มีผัวผิดคิดหาผัวใหม่เจ๋งที่สุด!

จนกระทั่งเสาร์หนึ่ง เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นตอนกลางวันแสกๆ

บ่ายนั้น ดิฉันกำลังปอกมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานอยู่ในห้องรับแขกกับ แอ้ม และ จุ๋ม ที่นั่งรถมาหาด้วยกัน ไม่ช้าเพื่อนชื่อ เก๋ อยู่ถึงรามคำแหง 150 ก็โทร.มาหา บอกกลุ้มใจเรื่องแฟนที่อ้างว่านัดเพื่อนไว้ตอนเที่ยง แล้วรีบผลุนผลันออกจากบ้านไป...สงสัยจะนัดกิ๊กไว้มากกว่า

จุ๋มได้ยินแว่วๆ ก็ร้องแซวว่า อยากมีโผเร็วก็ต้องกลุ้มใจยังงี้แหละ! ว่าแต่สนมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานมั้ย ล่ะ? แหม! อมเปรี้ยวกำลังดีเชียว ถ้าแพ้ท้องก็รีบบึ่งมาเลยนะ..หรือจะแวะซื้อมาเพิ่มก็ดี จะทำน้ำปลาหวานเผื่อไว้ให้

เก๋ตอบตกลงทันที! แอ้มอดนินทาไม่ได้ว่า อยากได้แฟนหล่อๆ ก็ต้องช้ำใจไม่เสร็จ ยิ่งไม่รู้จักเสน่ห์ผัวหลง เดี๋ยวก็โดนคนอื่นงาบไปกินจนได้! จุ๋มเลยพยักหน้า...เธอรู้ดีนักทำไมไม่หาโผมาหลงเสน่ห์ซักคนล่ะ?

แซวกันเองดื้อๆ ซะงั้น

ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เก๋ก็มากดออดประตู แอ้มลุกไปเปิดแล้วร้องถามว่า...พาแฟนใหม่มาด้วยเหรอ? เข้ามาซี่! เสียงเก๋วี้ดว้าย หยิกตีกันประสาเพื่อนฝูง...ดิฉันเห็นหน้าเก๋แล้วนึกเอะใจว่าทำไมดูซีดเซียวผิดปกติ...นั่นปะไรคะ!

เก๋ออกจากบ้านมาราว 15 นาทีก็มีมอเตอร์ไซค์สีแดงแล่นลิ่วราวลมพัด แซงวูบเดียวหายไปเลย...แต่พอมาอีกไม่ไกลก็เห็นคนมุงกันอยู่ข้างทาง ตำรวจกับรถมูลนิธิทำให้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง รถติดจนเก๋ต้องเปิดประตูลงไปดู เห็นเลือดสดๆ แดงฉานแทบจะไหลนอง...

ได้ยินเสียงพูดกันว่า มอเตอร์ไซค์สีแดงเสยท้ายรถตู้จนแหลกยับ

คนขี่จักรยานยนต์มรณะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย นอก จากคอหักแล้วร่างกายยังแหลกเหลวยับเยิน...มองเห็นแวบเดียวก็ติดตาจนขนลุกขนพองไปหมด

พวกเราช่วยกันพูดปลอบใจจนเก๋หน้าชื่น...ไม่ช้าก็มาล้อมวงกันกินมะม่วงน้ำปลาหวานกันอย่างเอร็ด อร่อย จู่ๆ จุ๋มก็ถามแอ้มว่า...ทำไมทักเก๋ว่าพาแฟนใหม่มาด้วยเหรอ? แอ้มทำหน้าเหลอหลาก่อนจะนึกขึ้นได้

'อ๋อ! ตอนเปิดประตูฉันเห็นผู้ชายเดินตามหลังเก๋มานี่นา นุ่งยีนส์สวมแจ๊กเกตดำ หุ่นเท่เชียว หน้าตาก็แหม...หล่อซะ! แต่เอ...ดูเหมือนหน้าผากจะมีเลือดติดอยู่นะ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา? หรือว่า...'

เสียงวี้ดว้ายดังระงมไปทั้งห้อง ดิฉันมองหน้าเก๋ก็เห็นขาวซีดลงตามเดิม ปากสั่นระริก หน้าตาใกล้จะร้องไห้เต็มที พึมพำว่า...เหมือนคนตายที่เก๋เห็น...

ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นกะทันหัน เสียงร้องว้าย! ดังขึ้นพร้อมๆ กัน จุ๋มบอกให้แอ้มไปเปิดประตูดูซิว่าใครมา? แอ้มห่อไหล่ทำหน้าสยอง บอกว่าจะให้ฉันเจออีตาสุดหล่อคนนั้นอีกเรอะ? ไม่เอาแล้ว! ดิฉันเลยบอกให้เก๋เป็นคนไปเปิด โดยมีเหตุผลง่ายๆ ว่า...กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง กลางวันแสกๆ ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก

เก๋กระเดือกน้ำลาย จำใจเดินช้าๆ ไปที่ประตู พวกเรามองตามพลางยักคิ้วหลิ่วตากันอย่างสนุก จนกระทั่งเห็นมือสั่นๆ เอื้อมไปจับลูกบิดดึงบานประตูเข้ามา...

เสียงหวีดร้องโหยหวนดังแสบแก้วหู...กรี๊ดๆๆ ไม่หยุดหย่อนจนพวกเราตกตะลึงไปตามๆ กัน ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องเรียกชื่อเพื่อน...เก๋ๆๆ เป็นไร? เป็นอะไรไป? แต่เก๋ไม่ตอบนอกจากร้องกรี๊ดๆ เหมือนคนสติแตก

จนพวกเราต้องเผ่นเข้าไปหาแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากจะรู้สึกมีลมเย็นๆ พัดวูบมากระทบ ไม่รู้ว่าจู่ๆ ทำไมต้องพัดมาใส่เรา เล่นเอาหนาวสะท้านจนขนลุกซ่า หน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กัน

ปิดประตูลงกลอน เก๋ร้องไห้โฮลั่น น้ำตาไหลพราก ไม่ยอมพูดยอมจานอกจากร้องไห้อย่างเดียว...กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เกือบสิบนาที

yengo หรือ buzzcity

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าผี ๆ บ้านเช่า ผีเฮี้ยน ย่านอนุเสาวรีย์

เรื่องเล่าผี ๆ บ้านเช่า ผีเฮี้ยน ย่านอนุเสาวรีย์



เรื่องมีอยูว่าเรากับแฟนได้เช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่แถวย่านอนุเสาวรีย์ เราเช่าอยู่ในราคา 20,000 บาท บ้านหลังนี้มีรูปแบบบ้านที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือ

ถ้าตรงกลางบ้านโล่งขึ้นไปถึงหลังคา บ้านหลัง นี้มี4ชั้นรวมชั้นดาดฟ้า บนดาดฟ้านี้มีศาลอยู่ด้วยค่ะ เราพอทราบมาว่าก่อนหน้าที่เราจะมาเช่า บ้านหลังนี้ว่างอยู่เกือบ2ปี หลังจากที่เราทั้งครอบครัวย้ายเข้ามานั้นเป็นช่วงที่ตรงกับฟุตบอลโลกพอดี คืนที่2หลังจากย้ายเข้าบ้านทุกคนหลับหมดแล้วเหลือแต่น้องชายนั่งดูบอลอยู่จนกระทั่งบอลจบ

ช่วงเวลาประมาณ ตี2ครึ่ง น้องก็ได้เดินจากชั้น2ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นกลับเข้ามานอนที่ห้องของตัวเอง

ระหว่างทางที่เดินผ่านที่พักบันไดน้องชายไม่ได้เปิดไฟทางเดิน แต่มีไฟสลัวตรงหน้าต่าง น้องชายได้ยินเสียงผู้หญิง2คนคุยกันอยู่ตรงหัวบันได ประมาณว่า"ผู้ชายคนนี้เป็นใครเนี่ยเข้ามาในบ้านเราได้ยังไง" แต่น้องเราก็คิดว่ามันหูฝาด เพราะน้องไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ก็เข้านอนตามปรกติจนหลับไปได้สักพักน้องชายเรารู้สึก
มีคนมาดึงขาลากลงมาจากที่นอน น้องเรากลัวมากรีบมาเคาะห้องขอนอนกับแม่หลังจากคืนนั้นน้องเรามันย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิมไม่มานอนที่นี่อีกเลย

มาพูดถึงห้องนอนเราบ้างนะ

เพื่อนๆลองนึกภาพห้องน้ำที่มีชักโครกที่เวลาเงยหน้าขึ้นไปจะมีหน้าต่างกระจกสามารถมองขึ้นไปแล้วเจอกับศาลตรงชั้นดาดฟ้าพอดี คิดเอาเถอะค่ะ เราไม่กล้าทำทุกข์หนักตอนกลางคืนกันเลยทีเดียว บอกได้ว่าน่ากลัว เราไม่สามารถข่มตาหลับในห้องนอนเวลาเรานอนคนเดียวได้แม้แต่ครั้งเดียว

มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลาเพื่อนที่มานอนที่บ้านเหมือนกันโดนผีอำทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราโดนทุกวัน จนเราชินมาก แต่บางครั้งก้อยังกลัวนะ ตลอดเวลาเกือบสองปีเจอแบบนี้ตลอดเหมือนมีคนอยู่ด้วยทั้งๆๆที่เราอยู่คนเดียว

หมาเราชอบเห่ามุมของห้องนอน (มุมนั้นมุมเดียวจริงๆๆห้องนั้นห้องเดียวด้วยตลอดระยะเวลาเกือบ2ปีมันเห่าทุกวันและต้องเป็นเฉพาะตอนเราอยู่คนเดียว)จนก่อนที่เราจะย้ายออก เรายืนล้างจานอยู่ในครัวซึ่งน่ากลัวมากด้านหลังติดกับห้องครัวเป็นห้องเก็บของที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียวนอกจากแฟนเรา

ขณะที่เรายืนล้างจานอยู่เราได้ยินเสียงมีใครเรียกชื่อเราอยู่ตรงข้างหู เราตกใจมากสะดุ้งสุดๆเพราะมันอยู่ข้างหูเราเองสามารถรู้สึกได้แต่เราไม่ได้ขานรับนะจากนั้นมาเราก้อย้ายออก จากนั้นพอเราย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เรีบยร้อยแฟนเราก็เล่าให้เราฟังว่า

เค้าเป็นคนไม่เคยเชื่อเรื่องผีเพราะเค้าเป็นต่างชาติแต่เค้ากลับบอกเราว่าตลอดเวลาที่เค้าอยู่บ้านหลังนั้นเค้ารู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วยนอกเหนือจากเราเวลาที่เค้าอยู่ในบ้านรู้สึกถึงสายตาจ้องมองตลอด เค้าบอกว่าไม่อยากเล่าให้เรากลัวหรือไม่สบายใจขอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริงจากที่เจอหลอนนิดๆๆกันบ้างไหมคะ


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

yengo หรือ buzzcity